Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.76 เจตจำนงของบริวารแห่งเทพ
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียงตัง
ฟู่เพี่ยวเลี่ยงก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว ด้วยระดับพลังของเขาหากทานยาทิพย์มังกรคราม
ก็คงจะเหนือกว่า ซงซือและจั่วส่งไม่มากนัก แต่เขาก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว เขาจึงรีบหยิบยาทิพย์มังกรครามออกมาทานในทันที
“เทพอัสนีสังหาร!” หนิงเอ๋อฟันกระบี่เทพวายุอัสนีออกไปทันที
เพื่อทดสอบฝีมือของฟู่เพี่ยวเลี่ยง แต่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงก็สะบัดผ้าคลุมสีเงินที่อยู่ด้านหลังของเขา
เมื่อสายฟ้าจากกระบี่เทพวายุอัสนีปะทะเข้ากับ ผ้าคลุมอัสนีคืนกลับ
สายฟ้านั้นก็สะท้อนกลับไปทางหนิงเอ๋อทันที
และดูเหมือนว่าสายฟ้าที่สะท้อนกลับมาจะมีความเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
“กำแพงน้ำแข็งนิรันดิ์!” เอียจื่ออวิ๋น
สร้างกำแพงน้ำแข็งเพื่อป้องกันให้หนิงเอ๋อทันที
กำแพงน้ำแข็งนิรันดิ์สามารถป้องกันสายฟ้าที่สะท้อนกลับมาได้
แต่ก็เกิดรอยแตกขึ้นมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน
“สายฟ้าของเจ้าดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับข้านะ”
ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นด้วยความยินดี เขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าผ้าคลุมอัสนีคืนกลับ
จะวิเศษถึงเพียงนี้
“จงอางขาวอัสนีเหมันต์!” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงสะบัดแส้จงอางขาวออกไปทันที
ด้วยความรวดเร็วดั่งสายฟ้า ตรงส่วนปลายของแส้จงอางขาวจะมีลักษณะเป็นหัวจงอาง
หากถูกฟันของจงอาง คนผู้นั้นจะโดนเขี้ยวพิษน้ำแข็ง
ร่างกายจะเย็นลงจนกระทั่งกลายเป็นน้ำแข็งทั้งร่าง
แต่หากถูกแส้รัดจะถูกสายสายฟ้าจู่โจมเข้าร่างกายทันที
แส้จงอางขาว
เข้าปะทะกับ กำแพงน้ำแข็งนิรันดิ์ของเอียจื่ออวิ๋น
เพียงแค่ครั้งเดียวกำแพงน้ำแข็งนิรันดิ์ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันที
“กำแพงน้ำแข็งนิรันดิ์เช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าจะตั้งชื่อเกินความเป็นจริงไปมากเลยนะ” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดพร้อมกับหัวเราะ
ด้วยความเย้ยหยัน แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญด้านวรยุทธเท่าใดนัก
แต่ด้วยระดับพลังและของวิเศษที่เขามีอยู่ ก็ทำให้เขาเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
ก็ไม่ใช่คำที่ยกยอเกินไปนัก
“กระบี่วายุเหมันต์!” เอียจื่ออวิ๋นรวบรวมลมปราณสร้างกระบี่วายุเหมันต์ขึ้นมา
พร้อมกับควบคุมให้พุ่งไปที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงทันที
ทันทีที่กระบี่วายุเหมันต์
พุ่งปะทะหน้าอกของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
กระบี่วายุเหมันต์ก็แตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็งเท่านั้น เกราะสลายวายุเหมันต์ที่เขาสวมใส่อยู่นั้น
สามารป้องกันพลังไอเย็น หรืออาวุธธาตุน้ำแข็งได้ทุกชนิด
“จงอางขาวอัสนีเหมันต์!” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงสะบัดแส้จงอางขาวออกไปรัดแขนขวาของเอียจื่ออวิ๋นเอาไว้
และปล่อยสายฟ้าออกไปทันที
แต่เนื่องนางแขนของเอียจื่ออวิ๋นอวิ๋นนั้นมีเกราะที่ถักทอจาลมปราณวายุเหมันต์ของนางเอาไว้
จึงสามารถป้องกันสายฟ้าได้บ้าง แต่ก็ทำให้แขนของนางมีรอยสีแดงคล้ายถูกไฟลวกขึ้นมารอบแขน
“จื่ออวิ๋น!” หนิงเอ๋อรีบพุ่งเข้าไปช่วย ทำให้ฟู่เพี่ยวเลี่ยงจำต้องดึงแส้จงอางขาวกลับมา
และสบัดไปที่หนิงเอ๋อทันที หนิงเอ๋อใช้กระบี่เทพวายุอัสนีปัดป้อง
แต่แส้จงอางขาวกลับหลบได้ราวกับมีชีวิตและกัดไปที่มือขวาของนางทันที
“เพียงเท่านี้เจ้าก็จะกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งของข้าแล้ว” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
เขาไม่คิดมาก่อนว่า การเป็นยอดฝีมือจะทำให้เขามีความสุขถึงเพียงนี้
“หนิงเอ๋อเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?” เอียจื่ออวิ๋นหันไปถามหนิงเอ๋อด้วยความกังวล
“จื่ออวิ๋น
เจ้าถอยห่างจากข้าไป ความเย็นเพียงเท่านี้ไม่อาจทำอันใดข้าได้” หนิงเอ๋อชูกระบี่เทพวายุอัสนีขึ้นไปด้านบน
และเรียกสายฟ้าให้ผ่าลงมาที่ปลายกระบี่เทพวายุอัสนีทันที
“อัญเชิญเทพอัสนี!”
ทันทีที่ฟ้าผ่าลงมาที่ปลายกระบี่
ร่างกายของหนิงเอ๋อก็มีประกายสายฟ้าอยู่โดยรอบ พิษน้ำแข็งที่เข้าไปในร่างของนางถูกดึงออกมาจากร่างกายของนางทันที
แต่การเรียกสายฟ้ามาผ่าร่างกายเช่นนี้ ก็ทำให้นางสิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
“หากใช้น้ำแข็งและสายฟ้าเล่นงานมันไม่ได้
ก็ใช้ดนตรีจัดการมัน กู่เจิ้งเสียงสวรรค์!” เอียจื่ออวิ๋นเรียกกู่เจิ้งเสียงสวรรค์ออกมา
และเริ่มนั่งลงทันที
“ท่วงทำนองนิทราสวรรค์!” เอียจื่ออวิ๋นเริ่มใช้นิ้วกรีดกรายลงบนสายกู้เจ้ง
และบรรเลงท่วงทำนองนิทราสวรรค์ ที่ผู้ใดได้ยินแล้วจะหลับไหลลงไปอย่างไม่รู้ตัว
แต่ด้วยเกราะและผ้าคลุมวิเศษของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
จึงเกิดม่านพลังป้องกันเสียงบางส่วนเอาไว้ได้ แม้ว่าฟู่เพี่ยวเลี่ยงจะตกอยู่ในห้วงภวังไปบ้างเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่ถึงกับหลับไหล
“จื่ออวิ๋น
ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง” หนิงเอ๋อรีบนำหร่วนเทพธิดาออกมาและร่วมบรรเลงท่วงทำนองนิทราสวรรค์กับจื่ออวิ๋นทันที
ด้วยเสียงจากเครื่องดนตรีทั้งสอง
ทำให้ท่วงทำนองนี้มีอาณุภาพสูงขึ้นหลายเท่า ม่านพลังของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
จึงไม่อาจป้องกันได้อีกต่อไป ดวงตาของเขาเริ่มจะปิดลง
แต่วรยุทธของพวกนางยังคงแพ้ทางของวิเศษทั้งสอง จึงไม่อาจปลิดชีพฟู่เพี่ยวเลี่ยงได้
พวกนางจึงหันมองไปทางเซียงตัง
โดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอันใด
เซียงตังรับรู้ทันทีว่าพวกนางต้องการพูดสิ่งใด
เขาจึงทะยานลงมาจากบนกำแพงเมืองพร้อมกับหมุนตัวใช้กระบี่ฟันไปที่คอของฟู่เพี่ยวเลี่ยงทันที
คอของฟู่เพี่ยวเลี่ยงค่อย ๆ ร่วงหล่นลงกับพื้น
แต่การที่ได้สิ้นลมในขณะที่หลับไหลจากท่วงทำนองนิทราสวรรค์ นับว่าเมตตาเขายิ่งนัก เนื่องจากเขานั้นจะรู้สูกราวกับล่องลอยอยู่บนทรวงสวรรค์
และไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นได้สิ้นลมไปแล้ว
“จบแล้วสินะ”
เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับถอนหายใจ
การบรรเลงท่วงทำนองนิทราสวรรค์นั้นต้องใช้พลังไม่น้อย
นางหันไปมองเซี่ยวหนิงเอ๋อที่กำลังเหนื่อยหอบไม่ต่างจากนาง
“ขอบใจท่านมาก
หากข้าจำไม่ผิด ท่านนั้นมีนามว่าเซียงตังใช่หรือไม่?”
หนิงเอ๋อหันไปขอบคุณเซียงตังที่ช่วยจบชีวิตของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
“เซียงตังคือนามของข้า
สำหรับเรื่องนี้ ข้าควรจะเป็นฝ่ายขอบใจพวกท่านเสียมากกว่า หากไม่ได้ท่านทั้งสอง
ข้าคงไม่อาจกำจัดคนทรยศได้” เซียงตังประสานมือขอบคุณอย่างสุภาพ
“เซียงตังหลบไป!”
จื่ออวิ๋นตะโกนออกไปเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวที่ด้านหลังของเซียงตัง
ร่างกายที่ไร้ศีรษะของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
สะบัดแส้จงอางขาวมาที่เซียงตัง
ด้วยเสียงเตือนของจื่ออวิ๋นทำให้เซียงตังกระโดดหลบไปได้
แต่แส้จงอางขาวก็เคลื่อนไหวตามการหลบของเซียงตังและกัดที่มือซ้ายของเขาทันที
“ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ยังไม่ตายเช่นนั้นหรือ?”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมาด้วยความตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาร่างที่ไร้ศีรษะ ลมปราณสีดำค่อย ๆ
ก่อรูปเป็นศีรษะอสูรขึ้นมาแทนที่ศีรษะที่ขาดไป หัวของอสูรนี้เป็นหัวของจงอางขาว
ที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
“ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ที่พวกเจ้าสู้ด้วยก่อนหน้านี้ มันได้ตายไปแล้ว ข้าคืออสูรจงอางขาว เป็นเจตจำนงของบริวารแห่งเทพ
ที่ถ่ายทอดพลังให้แก่มัน เจ้าคิดหรือว่าแค่คลายจุดชีพจรจะทำให้ฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นบรรลุถึงระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดเช่นนี้ได้
แท้จริงแล้วเป็นเพราะ ข้านั้นแฝงตัวอยู่ในร่างของมันต่างหากเล่า”
เจตจำนงของบริวารแห่งเทพพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี เมื่อฟู่เพี่ยวเลี่ยงตายไป
มันจึงสามารถออกมาควบคุมร่างนี้ได้ดั่งใจ ไม่มีทางที่อสูรอย่างมันจะเชื่อใจให้
มนุษย์อย่างฟู่เพี่ยวเลี่ยงปกครองอาณาจักรแห่งนี้
เจตจำนงของบริวารแห่งเทพนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริวารแห่งเทพ
ที่แบ่งร่างลงมา ทำให้มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง มิได้ถูกร่างหลักควบคุม
แต่ก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อร่างต้นเนื่องเพราะต้องใช้ชีวิตร่วมกัน
ซึ่งเจตจำนงของบริวารแห่งเทพนี้
มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สอง
และใกล้ที่จะบรรลุขั้นที่สามแล้ว
เซียงตังที่ถูกแส้จงอางขาวกัดที่มือ
แขนของเขาค่อย ๆ กลายเป็นน้ำแข็งทีละนิด
แต่มือขวาของเขายังคงถือกระบี่เตรียมเผชิญหน้ากับ อสูรจงอางขาว
“นั่นคือการลงโทษที่เจ้าสังหาร
สาวกของบริวารแห่งเทพ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถขับพิษน้ำแข็งออกมาได้
ดั่งมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น” อสูรจงอางขาว พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“จริงอยู่ว่าข้านั้นไม่อาจขับพิษออกไปได้
แต่ข้าก็มีวิธีที่จะจัดการกับพิษของเจ้า” เซียงตังตอบกลับไป
พร้อมกับใช้กระบี่ในมือจัดแขนซ้ายของตัวเองออกไปทันที
“อ๊ากกกก”
เซียงตังร้องด้วยความเจ็บปวด
เขาฉีกเสื้อของตนเองออกและพันห้ามเลือดแขนซ้ายเอาไว้
“เซียงตัง!” เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นสิ่งที่เซียงตังทำ พวกนางไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้ในการกำจัดพิษน้ำแข็ง
“ในตอนนี้พวกเจ้าใช้พลังจนแทบไม่เหลือแล้ว
จงรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำทางเหนือ จากความทรงจำของบรรพชน
ที่นั่นมีสิ่งที่เหมาะสมสำหรับพวกเจ้า จงรีบไปนำมาให้เร็วที่สุด
ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้”
เซียงตังส่งเสียงผ่านลมปราณไปที่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
“ท่านคิดว่า
พวกข้าจะปล่อยให้ท่านตายเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ?”
เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป พวกนางมิใช่คนเห็นแก่ตัวเช่นนั้น
“ข้าไม่คิดที่จะตายที่นี่เป็นแน่
แต่หากพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ พวกเราอาจจะตายด้วยกันทั้งหมด จงรีบไป
จากนั้นค่อยกลับมาช่วยเหลือข้า”
เซียงตังตอบกลับไปด้วยท่าทีที่มุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
“ข้าเข้าใจแล้ว
เจ้ารับสิ่งนี้ไป” หนิงเอ๋อตอบกลับไป พร้อมกับนำยาทิพย์โยนให้เซียงตังหนึ่งขวด
นี่คือยาทิพย์จากผลไม้แห่งพระเจ้า
เมื่อดื่มไปแล้วจะทำให้พลังของเซียงตังเพิ่มสูงขึ้น
และอาจจะรับมืออสูรจงอางขาวได้ชั่วคราว แต่หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ
การเอาชนะอสูรจงอางขาวนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
เมื่อหนิงเอ๋อตัดสินใจเช่นนั้น
เอียจื่ออวิ๋นจึงยอมพยักหน้าตอบรับ พวกนางตัดสินใจที่จะรอให้แขนซ้ายของเซียงตังคืนสภาพกลับมาดังเดิม
จึงจะรีบเดินทางไปตามทิศทางที่เซียงตังได้บอกไว้
พวกนางมั่นใจว่าจะต้องเป็นจุดเดียวกับที่มีกระจกข้ามภพอยู่เป็นแน่
“มังกรภูเขาเกล็ดสีชาด!” เซียงตัง ดื่มยาทิพย์ที่หนิงเอ๋อส่งให้
และรีบทำการดูดซับทันที ร่างกายของเขาร้อนรุ่มราวกับไฟลุกแต่ก็สามารถดูดซับได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บจากภายนอกช่วยปรับสมดุลความร้อนจากภายใน
ซึ่งทำให้เขานั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้ในที่สุด จากนั้นเขาก็เรียกจิตอสูรสายเลือดมังกรของเขาออกมาผสานทันที
ทำให้แขนซ้ายของเขาคืนสภาพกลับมารวดเร็วยิ่งขึ้น มังกรภูเขาเกล็ดสีชาด
มีขนาดสูงใหญ่ราวสามสิบเมตร เกล็ดสีชาดนั้นมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่
ด้านหลังมีปีกสีแดงเพลิง ยามที่โบกสะบัดนั้น
มีความรุนแรงไม่ด้อยไปกว่าพายุหิมะที่พัดผ่านอยู่โดยรอบ
“ไปได้!” เซียงตังตระโกนบอกทั้งสองคน ขณะที่พุ่งเข้าโจมตีอสูรจงอางขาวทันที
“ข้าคิดว่าจะใหญ่โตสักเพียงไหน
ชั่งเล็กน้อยยิ่งนัก” อสูรจงอางขาวที่ดูเหมือนกับว่ายืนนิ่งอยู่ แต่จริง ๆ
แล้วเขากำลังรวบรวมพลังเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนร่างกายมนุษย์ของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ให้กลับสู่รูปลักษณ์ของอสูรจงอางขาว ร่างกายของมันค่อยแตกออกราวกับงูที่กำลังลอกคราบ
แม้ว่าจะมองดูเป็นจงอางขาวธรรมดา แต่ร่างกายของมันใหญ่โตกว่าห้าสิบเมตร
ส่วนเกราะและผ้าคลุมวิเศษนั้นก็กลายเป็นเกราะห่อหุ้มเกล็ดของจงอางขาวอีกชั้นหนึ่ง
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อรีบทะยานไปทางทิศเหนือทันที
เพราะร่างกายอันใหญ่โตของอสูรจงอางขาว จึงไม่ทันสังเกตุเห็นทั้งสองคน
“หนิงเอ๋อเจ้าคิดว่า
เซียงตังจะต้านทานไว้ได้นานสักเท่าใด”
เอียจื่ออวิ๋นหันไปมองร่างกายอันใหญ่โตของอสูรจงอางขาว ด้วยความกังวล
“ถ้ำทางเหนือนั้น
มิได้อยู่ไกลนัก พวกเราควรที่จะไปเอากระจกข้ามภพมาก่อน จากนั้นก็รับหาสิ่งที่เซียงตังบอกไว้
คงใช้เวลาไม่มากนัก” หนิงเอ๋อตอบกลับไป
นางเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปเอาสิ่งใดและใช้เวลาเท่าใด
แต่นางจะไม่ยอมให้มีผูใดต้องสละชีวิตเพื่อนางเป็นแน่ พวกนางจึงรีบมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงสุด
“ร่างอัคคี!” เซียงตังใช้ลมปราณปลุกให้เปลวไฟห่อหุ้มร่างกายเอาไว้
อสูรจงอางขาวนั้นเป็นอสูรธาตุอัสนีเหมันต์ การใช้ร่างอัคคี
อาจจะทำให้อสูรจงอางขาดไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เขา
“เปลวไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจะทำอันใดข้าได้”
อสูรจงอางขาวพ่นลมหายใจออกมา ทำให้เปลวไฟของเซียงตังดับลงทันที
เกล็ดมังกรของเขาก็ค่อย ๆ ถูกหิมะเกาะไปทั่วทั้งร่าง
แม้ว่าเขาจะบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว แต่ความห่างชั้นก็ยังมีมากเกินไป..........จบตอน
Scroll to Top