Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.75 ซงซือและจั่วสง
เอียจื่ออวิ๋นหันไปสบตากับหนิงเอ๋อ
เพื่อให้เตรียมรับมือทันที ดูจากท่าทีของซงซือและจั่วสง
ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรบางอย่าง
“เพลิงราชสีห์!”
“เพลิงหมีโลกันต์!”
ซงซือพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงออกจากปากไปทางจื่ออวิ๋นทันที
ในขณะเดียวกันจั่วสงก็พ่นเปลวไฟสีดำอันร้อนแรงไปทางเซี่ยวหนิงเอ๋อ ทำให้พื้นที่มีน้ำแข็งเกาะอยู่ละลายไปเป็นแนวยาวหลายสิบลี้
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อกระดดดหลบไปคนละทาง
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเป้าหมายของซงซือและจั่วสง คือการจับแยกพวกนางออกจากกัน
จื่ออวิ๋นเก็บกู่เจิ้งเสียงสวรรค์เอาไว้
และตั้งท่าต่อสู้ด้วยมือเปล่าทันที
“กระบี่วายุเหมันต์!”
เอียจื่ออวิ๋นรวบรวมลมปราณสร้างกระบี่น้ำแข็งขึ้นมาที่มือขวาของนาง
โดยรอบกระบี่น้ำแข็งนั้นมีกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกราวกับว่า
หากสัมผัสกับสิ่งใดจะถูกไอเย็นนี้แช่แข็งทันที
“ระเบิดเพลิงราชสีห์!” ซงซือพ่นลูกไฟออกมาราวกับเป็นกระสุนปืนใหญ่
ความร้อนแรงของมันมากยิ่งกว่าพายุหิมะที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่โดยรอบ
จนทำให้รู้สึกร้อนขึ้นมาแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋นจึงใช้กระบี่ฟันไปตรงกลางระเบิดเพลิงราชสีห์ทันที
เมื่อถูกฟันแยกออกเป็นสองส่วน
เปลวไฟของระเบิดเพลิงราชสีห์ก็ดับมอดลงกลายเป็นก้อนน้ำแข็งเท่านั้น
ในตอนนี้เอียจื่ออวิ๋นได้ปลดปล่อยพลังระดับออกมาเพียงแค่ระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าเท่านั้น
แต่ก็ยังนับว่าเหนือกว่าซงซืออยู่ขั้นหนึ่ง
นางชำเลืองมองโดยรอบและเห็นว่า
ทางด้านหนิงเอ๋อนั้นก็ถูกดึงให้ไปสู้อยู่ในที่ ที่ห่างออกไปหลายลี้
“ดูเหมือนว่า
เจ้าจะเหนือกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่”
ซงซือระเบิดลมปราณออกมามากยิ่งขึ้นร่างกายของเขาลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง
และพุ่งเข้ามาโจมตีจื่ออวื๋นด้วยกรงเล็บทั้งสองข้างทันที
“กระบี่ผ่าหิมะ!”
จื่ออวิ๋นไม่ยอมเปิดโอกาสให้ซงซือได้โจมตี
นางฟันกระบี่วายุเหมันต์ไปตรงศีรษะของซงซือทันที
“ฝ่ามือเพลิงประกบดาบ!” ซงซือใช้สองมือประกบรับกระบี่ของจื่ออวิ๋นเอาไว้
แม้ว่าโดยรอบกระบี่จะมีไอเย็นห่อหุ้ม แต่ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่มือทั้งสองข้างของซงซือ
ก็เริ่มที่จะทำให้กระบี่วายุเหมันต์เริ่มละลาย
“หางแส้อัคคี!”
ซงซือสะบัดหางของเขาราวกับเป็นแส้ที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวฟาดเข้าที่ใบหน้าของเอียจื่ออวิ๋นอย่างจัง
แก้มของนางมีรอยแผลยาวราวกับถูกกรีด
“หางของข้าอบอุ่นดีไหมเล่า” ซงซือพูดด้วยความลำพองใจ
หางของเขานั้นมีทั้งความคม และความร้อนจากเปลวไฟ เมื่อถูกโจมตีเข้าใบหน้า
แม้ว่าจะรอดไปได้ แต่ก็ต้องเสียโฉมไปอย่างแน่นอน
รอยแผลบนใบหน้าของจื่ออวิ๋น ค่อย ๆ แตกออกราวกับ
กระจกที่ค่อย ๆ ร้าว และแตกกระจายออกเป็นเศษน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ซงซือมองดูด้วยความตกใจยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังสนุกกับรูปปั้นน้ำแข็งของข้าอยู่นะ”
จื่ออวิ๋นปรากฏตัวมาที่ด้านหลังของซงซือและรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือของนางทันที
“ฝ่ามือหิมะโปรย!”
จื่ออวิ๋นซัดฝ่ามือไปที่กลางหน้าอกของซงซือทันทีที่เขาหันหลังกลับมา
ไอเย็นจากฝ่ามือของจื่ออวิ๋นแทรกเข้าตรงกลางร่างของซงซืออย่างรวดเร็ว
เปลวไฟที่อยู่รอบตัวเขาค่อย ๆ ดับมอดลง และดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะค่อย ๆ
กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
ซงซือลองขยับมือของเขาดู
เมื่อเห็นว่ายังสามารถขยับได้ เขาจึงรีบนำยาทิพย์มังกรครามออกมาทานทันที
ลมปราณของซงซือค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นเปลวไฟที่ใกล้ดับมอดลงไปกลับลุกโชนขึ้นมา
เป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวไฟก่อนหน้านี้
เป็นเปลวไฟจากลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า พื้นน้ำแข็งที่ยืนอยู่
ละลายออกไปจนมองเห็นพื้นดินที่อยู่ใต้น้ำแข็งได้
เมื่อจื่ออวิ๋นเห็นเช่นนั้นจึงรีบปลดปล่อยลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมาเช่นกัน
แต่ไม่ทันที่จะได้ขยับตัว ซงซือก็พุ่งเข้ามากอดรัดเอียจื่ออวิ๋นเอาไว้
และใช้เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเผาไหม้เอียจื่ออวิ๋นทันที
“ถูกจับไว้เช่นนี้
เจ้าก็ไม่อาจที่จะสร้างร่างแยกเพื่อหลบหนีได้อีก
นี่คืออ้อมกอดแห่งพญาราชสีห์เพลิง” ซงซือพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารังเกียจยิ่งนัก
เอียจื่ออวิ๋นยังคงยืนนิ่งใช้ลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าของนาง
ค่อย ๆ สร้างม่านพลังน้ำแข็งห่อหุ้มร่างกายของนางเอาไว้บาง ๆ
แขนของซงซือเริ่มรับรู้ได้ถึงความเย็นจากร่างกายของจื่ออวิ๋น
แต่เขาก็ยังคงกอดรัดนางเอาไว้ ความเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของจื่ออวิ๋น
ในความนี้ไม่ได้ทำให้เปลวไฟของซงซือ มอดดับลงไป
แต่กลับแช่แข็งได้แม้แต่เปลวไฟของซงซือ
แค่เพียงไม่นานร่างกายที่ที่ลุกเป็นไฟของซงซือก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยไอเย็นของเอียจื่ออวิ๋น
จนไม่อาจขยับตัวได้อีก
“นี่มันอะไรกัน!”
ซงซือพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เขาถูกแช่แข็งด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
เรื่องนี้ไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย
“เจ้านั้นได้ตายไปแล้ว!” เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับเริ่มขยับตัว
ร่ายกายของซงซือก็ค่อย ๆ แตกกระจายออกไป
แม้ว่าจะอยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าเท่ากัน แต่เอียจื่ออวิ๋นนั้นใกล้ที่จะบรรลุขั้นที่สองแล้ว
จึงมีความห่างชั้นอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้านหนิงเอ๋อที่ถูกแยกไปต่อสู้อีกทาง นางถือกระบี่เทพวายุอัสนีไว้ในมือ
และเตรียมรับมือการโจมตีของจั่วสง เปลวไฟสีดำที่ห่อหุ้มร่างของจั่วสงนั้นมีทั้งความร้อนแรง
และน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“กรงเล็บเพลิงโลกันต์!” จั่วสงปล่อยเปลวเพลิงสีดำออกมาจากมือทั้งสองข้าง
มันพุ่งออกมาราวกับกรงเล็บของหมี ที่มีไฟสีดำลุกโชนอยู่
หนิงเอ๋อจึงใช้กระบี่เทพวายุอัสนีปัดป้องเอาไว้
และได้เห็นว่า กรงเล็บที่ถูกปัดออกไป โดยรอบยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม
“เพลิงโลกันต์ของข้าจะไม่มีวันดับลงไป” จั่วสงพูดขึ้นมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“เทพอัสนีสังหาร!”
หนิงเอ๋อฟันกระบี่เทพวายุอัสนีออกไป ทำให้เกิดฟ้าผ่าลงมาโจมตีใส่จั่วสงอย่างต่อเนื่อง
แต่ดูเหมือนว่าสายฟ้าเหล่านั้นจะทำให้จั่วสงนั้นบาดเจ็บเท่าใดนัก ทำให้หนิงเอ๋อรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงความสงสัยของเซี่ยวหนิงเอ๋อ
จั่วสงจึงหัวเราะและพูดออกไปทันทีว่า
“ตระกูลของข้านั้นสามารถหาอาหารที่ด้านนอกกำแพงเมืองได้
เพราะสายฟ้าไม่อาจทำอันตรายแก่พวกข้าได้”
จั่วสงยืดอกด้วยความหยิ่งทะนง หากนับเรื่องความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าซงซือเสียอีก
การที่ตระกูลของเขาอยู่อันดับที่ต่ำกว่าเพราะตระกูลซือนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการค้ามากกว่าเท่านั้น
“โซ่กรงเล็บเพลิงโลกันต์!” จั่วสงใช้เพลิงสีดำเป็นดั่งโซ่
ส่วนปลายของโซ่มีกรงเล็บที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงโลกันต์อยู่
เขานั้นทานยาทิพย์มังกรครามตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้
ทำให้เขามีระดับพลังที่เหนือกว่าหนิงเอ๋อที่ยังปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้
หนิงเอ๋อรีบใช้กระบี่เทพวายุอัสนีปัดป้องอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้จั่วสงได้กระตุกโซ่เพื่อควบคุมกรงเล็บเพลิงโลกันต์ได้ราวกับมีชีวิต
โซ่กรงเล็บเพลิงโลกันต์พันไปรอบตัวของหนิงเอ๋อทันที
เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ภายนอกเริ่มที่จะถูกเผาไหม้
แต่ผิวกายของนางมีม่านพลังสายฟ้าห่อหุ้มอยู่นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากเพลิงโลกันต์เหล่านี้
แม้ว่านางจะค่อย ๆ
ปลดปล่อยพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมา แต่วรยุทธของนางใช้ไม่ได้ผลกับจั่วสงเท่าใดนัก
ดังนั้นนางจึงต้องครุ่นคิดวิธีเอาชนะ ในตอนนี้นางจึงได้แต่ตั้งรับเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง
สายฟ้าจากอากาศที่แปรปรวนก็ผ่าลงมาที่หนิงเอ๋อทันที
ทำให้โซ่กรงเล็บเพลิงโลกันต์ของจั่วสงที่รัดนางอยู่ แตกกระจายออกไปเป็นชิ้น ๆ
หนิงเอ๋อสัมผัสได้ถึงพลังจากสายฟ้าที่ไหลเวียนเข้าไปในร่างกายของนาง
ทั่วร่างของนางเริ่มมีประกายสายฟ้าอยู่โดยรอบ
ตอนนี้เสื้อผ้าที่นางใส่คลุมเอาไว้ถูกเผาไหม้ไปจนหมด
จนเผยให้เห็นเกราะเทพวายุอัสนี ที่มีสีเหลืองอ่อนอย่างชัดเจน
และการที่ได้รับพลังจากฟ้าที่ผ่าลงมาทำให้ เกราะเทพวายุอัสนีได้ปลดปล่อยพลังออกมา
ร่างกายของหนิงเอ๋อห่อหุ้มไปด้วยประกายสายฟ้า
ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น นางเก็บกระบี่เทพวายุอัสนีเอาไว้และนำหร่วนเทพธิดาออกมาอีกครั้ง
สายฟ้าที่อยู่โดยรอบตัวของนาง ค่อย ๆ
หายไปและไปรวมตัวอยู่ที่หร่วนเทพธิดา ทันทีที่นางเริ่มบรรเลง
สายฟ้าจากหร่วนเทพธิดาก็ไปห้อมล้อมที่ร่างของจั่วสง ทำให้จั่วสงไม่อาจที่จะขยีบตัวได้เลย
“สายฟ้าพวกนี้ มันอะไรกัน?” จั่วสงถามด้วยความตกใจ โดยปกติแล้วด้วยขนที่หนาของเขา
จะสามารถป้องกันสายฟ้าได้ แต่สายฟ้าเหล่านี้กลับตรึงร่างของเขาเอาไว้ได้
“นี่คือท่วงทำนองอัญเชิญเทพอัสนี
จงหลับตาฟังแล้วจากไปอย่างสงบเถิด”
หนิงเอ๋อพูดขึ้นมาขณะที่มือของนางยังคงบรรเลงท่วงทำนองอัญเชิญเทพอัสนี ต่อไป
เมฆดำที่อยู่เบื้องบนค่อย ๆ
มารวมตัวกันเหนือศีรษะของจั่วสง
และมองเป็นประกายสายฟ้าบนเมฆเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
“อัญเชิญเทพอัสนีลงทัณฑ์!”
หนิงเอ๋อบรรลงท่วงทำนองสุดท้ายของท่วงทำนองอัญเชิญเทพอัสนี
ทันทีที่จบลงไป สายฟ้าขนาดใหญ่ก็ผ่าลงมาตรงร่างของจั่วสงทันที
“อ๊ากกกกกกกก!”
เสียงร้องอันเจ็บปวดของจั่วสงดังขึ้นมาเพียงครู่เดียวก่อนที่จะเงียบหายไป
พื้นน้ำแข็งหลังจากที่ถูกฟ้าฝ่าลงไป ก็ละลายจนมองเห็นพื้นดินได้อย่างชัดเจน
ร่างของจั่วสงนั้นนั้นถูกสายฟ้าเผาไหม้จนไม่เหลือแม้แต่ซาก
เปลวเพลิงสีดำที่เคยลุกโชนอยู่โดยรอบก็เริ่มดับมอดลงไปพร้อม ๆ กับชีวิตของจั่วสง
การต่อสู้ของทั้งสองคนนั้นจบลงในเวลาที่ใกล้เคียงกัน
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อหันไปมองอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้นก็จบลงเช่นกัน พวกนางจึงมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นยืนอยู่
เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของพวกนาง ฟู่เพี่ยวเลี่ยงก็รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
แม้ว่าระดับพลังของเขาจะสูงมาก แต่เขาก็แทบไม่เคยใช้วรยุทธในการต่อสู้เลย
“ฟู่เพี่ยวเลี่ยง เจ้านั้นคือสาวกของบริวารแห่งเทพ
และเป็นฝ่ายเดียวกับพวกอสูร พวกข้านั้นสืบรู้ความจริงในข้อนี้แล้ว
เจ้าจะยอมรับการลงโทษหรือไม่?” เอียจื่ออวิ๋นจ้องไปที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เจ้ารู้แล้ว มันจะเป็นเช่นใดกัน? ในเมืองข้าได้ให้กองกำลังของตระกูลฟู่
และอสูรที่อาศัยอยู่ในเมือง ทำการยึดครองเมืองเอาไว้แล้ว
ประตูเมืองจะไม่ถูกเปิดออกถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากข้า” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงตอบโต้กลับไปโดยที่ไม่รู้สึกสำนึกแม้แต่น้อย
แม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัว แต่กองกำลังอสูรของตระกูลฟู่นั้นก็มียอดฝีมือระดับเทพสงครามอยู่หลายพันตน
“ข้าขอแย้งสักเล็กน้อยก่อนว่า
กองกำลังอสูรที่อยู่ในเมืองทั้งหมดถูกข้าสังหารไปแล้ว
แน่นอนว่ารวมถึงกองกำลังจากส่วนกลางที่เป็นอสูรที่เข้าร่วมกับพวกเจ้าด้วย
บัดนี้ในเมืองไม่มีอสูรตนใดที่เหลือรอดชีวิตอีกแล้ว”
เซียงตังที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองตะโกนลงมา................จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top