test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

7 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.74 ธิดาวายุเหมันต์และธิดาวายุอัสนี

         “เจ้าเป็นใครกัน อย่าได้มายุ่งเรื่องของพวกข้า” ซงซือพูดออกไปด้วยความไม่พอใจที่มีคนเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าเดิม

         

         “พวกข้าเป็นองครักษ์ของเถ้าแก่โหย่ว จะให้ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ก็คงจะทำไม่ได้” หนิงเอ๋อที่นั่งดื่มชาอยู่ พูดออกไป

         

        “หากคิดที่จะใช้กำลัง พวกข้าก็หาได้ขัดข้อง แต่ข้าเกรงว่าโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วจะเสียหาย หากเจ้ายินดี พวกเราไปตัดสินเรื่องนี้กันที่นอกเมือง จะไม่ได้ผิดกฏของเมืองนี้ด้วย เจ้ามีความเห็นเช่นใดบ้าง” เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุให้ซงซือรู้สึกโมโหมากขึ้น

         


       “ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเอง ตราบเท่าที่อยู่ในอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ใช้กำลัง” เซียงตังพูดแสร้งขึ้นมา ด้วยฐานะของกองกำลังจากส่วนกลาง เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำผิดกฏเป็นอันขาด

         


       “นี่พวกท่านทำอันใดกัน เหตุใดจึงส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นเช่นนี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเดินมาจากทางด้านนอกและพูดขึ้นมา

         

     “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” ซงซือหันไปพูดกับฟู่เพี่ยวเลี่ยงด้วยความไม่พอใจ

         

     “หากเป็นเรื่องในเมืองนี้ข้าก็ย่อมสามารถมีส่วนร่วมด้วยได้ เพราะข้าเองก็เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดอย่างไม่สนใจท่าทีของซงซือเท่าใดนัก

         

     “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลซงมีความขัดแย้งกับเถ้าแก่โหย่ว และต้องการใช้กำลังในการตัดสิน ข้าเองก็เป็นมนุษย์ย่อมต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับเถ้าแก่โหย่ว แต่ไม่คิดเลยว่าสาวงามทั้งสองที่ข้าเคยเห็นจะกลายเป็นองครักษ์ของเถ้าแก่โหย่วเช่นนี้ แม่นางทั้งสองเองก็มีความแข็งแกร่งไม่น้อย เหตุใดจึงไม่ใช้กำลังสั่งสอนอสูรพวกนี้เล่า” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดต่อและจับจ้องไปที่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม

         

       “ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดต่อสู้กันทั้งนั้น!” เซียงตังพูดด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจคำพูดของเขาเลยสักคน

         

       “เซียงตัง เรื่องนี้ข้าว่าพวกเราที่เป็นกองกำลังจากส่วนกลางอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเลยจะดีกว่า” กองกำลังจากส่วนกลางที่เป็นอสูรก้าวออกมาจากด้านหลังของซงซืออีกคน เขามีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากซงซือเท่าใดนักคือมีใบหน้าเป็นดั่งราชสีห์ ที่ดูแล้วดุดันเพราะเขาคือน้องชายของซงซือ มีนามว่าซงยวน [凶冤:ความอยุติธรรมที่เลวร้าย]

         

      “ซงยวน เจ้าลืมหน้าที่กองกำลังส่วนกลาง และไปเข้าข้างตระกูลของตนเช่นนั้นหรือ?” เซียงตังถามออกไปด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับถือกระบี่พุ่งไปโจมตีซงยวนทันที

         

      “พี่ใหญ่ทางนี้ข้าจัดการเอง พวกท่านอย่าได้เสียเวลาอีกเลย” ซงยวนพูดออกไปพร้อมกับชักดาบออกมาและต้านรับเซียงตังทันที

         

      “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญพวกเจ้าออกไปสู้กันที่นอกเมืองได้ ข้านั้นจะเป็นพยานให้แก่ผู้ที่ชนะ” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดออกไปขณะที่เห็นว่า กองกำลังจากส่วนกลางที่เป็นมนุษย์และอสูรเริ่มต่อสู้กัน

         

       “ได้! ข้าจะนำกองกำลังไปรอพวกเจ้าที่นอกประตูเมือง หากพวกเจ้าปฏิเสธนั่นหมายความว่ายอมรับความพ่ายแพ้ โรงเตี๊ยมเหรินโหย่วและทรัพย์สินทั้งหมดของเถ้าแก่โหย่ว จะต้องตกเป็นของตระกูลซงทันที” ซงซือหัวเราะและนำกองกำลังทั้งหมดออกไปที่นอกเมือง และมีจั่วสงนำอีกกองกำลังหนึ่งติดตามไป

         

       ตอนนี้ชาวเมืองที่เป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ ได้ถูกพาออกไปนอกเมืองแล้ว โดยหลบพักอยู่ในถ้ำใกล้ ๆ หนิงเอ๋อได้มอบยาผนึกไอเย็นให้แก่พวกเขาแล้ว ทำให้ไม่รู้สึกหนาวจากอากาศภายนอก ส่วนสินค้าต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ถูกนำเก็บไว้ในแหวนห้วงมิติแล้ว แม้ว่าจะสูญเสียโรงเตี๊ยมไป พวกซงซือก็ได้เพียงโรงเตี๊ยมที่ว่างเปล่าเท่านั้น

         

       หนิงเอ๋อให้กองกำลังจากส่วนกลางที่เหลือ คุ้มกันเถ้าแก่โหย่วและครอบครัวเอาไว้ และให้พาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย ก็คือถ้ำนอกเมืองนั่นเอง

         

       ที่นอกประตูเมืองกองกำลังอสูรของตระกูลซงและตระกูลจั่ว ยืนอยู่หลายแสนตน พวกเขาใช้ลมปราณห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันความเหน็บหนาว และยังต้องคอยระวังฟ้าที่ฝ่าลงมาเป็นระยะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สวมชุดเกราะและถืออาวุธที่ทำจากโลหะ จึงมีเพียงเกราะหนังและขวานที่ทำมาจากหินเท่านั้น

         

      เอียจื่ออวิ๋นที่สวมเกราะเทพวายุเหมันต์เดินออกมาพร้อมกับเซี่ยวหนิงเอ๋อที่สวมเกราะเกราะเทพวายุอัสนีที่มีสีเหลืองอ่อน

         

     “พวกเจ้านั้นยังมิได้บอกเลยว่า หากพวกเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ ข้าจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน” เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ด้วยเกราะเทพวายุเหมันต์ทำให้นางไม่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บของพายุหิมะโดยรอบเลยแม้แต่น้อย

         

     “หากเจ้าสามารถเอาชนะกองกำลังของข้าได้ ไม่ว่าปราถนาสิ่งใดก็จงเอ่ยมาได้” ซงซือพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความเหยียดหยัน แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงพลังระดับเทพสงครามจากพวกนาง แต่ก็อยู่แค่ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น เขาจึงไม่คิดถึงความพ่ายแพ้แม้แต่น้อย

         

    “จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี กู่เจิ้งเสียงสวรรค์” เอียจื่ออวิ๋นนำกู่เจิ้งเสียงสวรรค์ออกมา พร้อมกับเก็บศิราเร้นเมฆาเอาไว้นางเริ่มใช้นิ้วบรรเลงท่วงทำนองแห่งวายุเหมันต์ผู้ที่มีความแข็งแกร่งต่ำกว่าระดับเทพสงครามจะเริ่มถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งโดยที่เริ่มจากขาของพวกเขา เมื่อขาถูกแช่แข็งก็จะถูกยึดด้วยพื้นหิมะ ทำให้พวกเขาไม่อาจที่จะขยับขาหลบหนีได้อีก จากนั้นไอเย็นก็ค่อย ๆ เกาะไปตามต้นขา ลำตัว แขน และสุดท้ายก็ถูกแช่แข็งไปทั้งตัว จนมองดูราวกับเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็ง  

         

       “หร่วนเทพธิดา กระบี่เทพวายุอัสนี!” หนิงเอ๋อนำกระบี่ที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง ได้ปรับปรุงให้ดียิ่งกว่ากระบี่วายุอัสนีเดิมที่นางเคยใช้ ที่เก็บซ่อนไว้ในหร่วนเทพธิดาออกมา และเก็บศิราเร้นเมฆาเอาไว้เช่นกัน แค่เพียงกวัดแกว่งกระบี่เพียงเล็กน้อย ร่างกายของกองกำลังอสูรที่ถูกแช่แข็งก็ถูกฟ้าฝ่าลงมาจนร่างกายที่เป็นน้ำแข็งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร่างกายที่เป็นน้ำแข็งแตกกระจายออกไป ส่องแสงประกายสะท้อนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา ซึ่งดูงดงามยิ่งนัก

        

     กองกำลังหลายแสนถูกสังหารในพริบตา ตอนนี้เหลือเพียงยอดฝีมือระดับเทพสงครามอีกราวหมื่นคนเท่านั้นที่รอดอยู่ได้

         

     “นี่คือสิ่งที่พวกข้าต้องการ หากพวกข้าเอาชนะได้ อสูรในอาณาจักรแห่งนี้จะต้องสูญสิ้น” จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อพูดออกไปพร้อมกัน

         

     “พลังของพวกนางมิได้ด้อยไปกว่าข้าเลยแม้แต่น้อย!” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่วรยุทธของพวกนางไม่อาจที่จะร้ายเขาได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงแอบยิ้มอยู่ในใจ

         

     “ฆ่าพวกนางซะ!” ซงซือและจั่วสง สั่งให้กองกำลังระดับเทพสงครามที่เหลืออยู่บุกเข้าโจมตีทันที เพราะเขารู้แล้วว่าพลังของพวกนางใช้ได้กับพวกที่มีฝีมือต่ำกว่าระดับเทพสงครามเท่านั้น

         

      “ท่วงทำนองหิมะผนึกวิญญาณ!” เอียจื่ออวิ๋นใช้นิ้วกรีดลงบนกู่เจิ้งเสียงสวรรค์อีกครั้ง ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของนางดีดออกไป ก็จะทำให้เกล็ดหิมะโดยรอบพุ่งเข้าใส่ศัตรูราวกับเป็นอาวุธลับที่มีความคมยิ่งนัก

         

       ด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ เป็นการยากนักที่จะแยกให้ออกว่าเกล็ดหิมะใดเป็นของจริง หรือเกล็ดหิมะใดคือสิ่งที่นางปล่อยออกมา และยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งที่ถูกเกล็ดหิมะนี้ปักที่ร่างกาย ร่างกายของพวกเขาจะค่อย ๆ ถูกจับตัวเป็นน้ำแข็งไม่ต่างไปจากกองกำลังอสูรก่อนหน้านี้

         

      ทางด้านเซี่ยวหนิงเอ๋อนางเก็บกระบี่เทพวายุอัสนีเอาไว้ในหร่วนเทพธิดา และเริ่มทำการบรรเลงท่วงทำนองของนางขึ้นมาเช่นกัน

         

     “ท่วงทำนองอัสนีสู่สวรรค์!” ท่วงทำนองของหนิงเอ๋อสอดประสานเข้ากับท่วงทำของของจื่ออวิ๋น ร่างที่ถูกแช่แข็งจะถูกสายฟ้าผ่าลงมาในทันที ลำแสงสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า เป็นดั่งแสงนำทางให้วิญญาณของเจ้าของร่างขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะแตกกระจายออกเป็นสะเก็ดน้ำแข็ง

         

      ยิ่งบรรเลงท่วงทำนองทั้งสองนานเท่าใด ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของทั้งสองก็เพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น ทำให้ยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่สอง สาม และสี่ เริ่มที่จะถูกแช่แข็ง โดยที่กองกำลังอสูรไม่อาจที่จะเข้ามาใกล้ทั้งสองคนได้เลยแม้แต่น้อย

         

      ทางด้านในเมืองการต่อสู้ระหว่างเซียงตังและซงยวนก็ยังไม่จบลง เนื่องจากระดับพลังของทั้งสองนั้นทัดเทียมกัน และยังไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาแทรก

         

      ด้านนอกโรงเตี๊ยมก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น มีกองกำลังอสูรลึกลับกลุ่มหนึ่งเริ่มบุกไปยังโรงเตี๊ยมและร้านค้าอื่น ๆ ของมนุษย์ พวกเขาคือกองกำลังอสูรจากตระกูลฟู่นั่นเอง ด้วยคำสั่งของฟู่เพี่ยวเลี่ยง ทำให้พ่อบุญธรรมของเขานำกองกำลังเข้าบุกยึดภายในเมืองเอาไว้ แต่พวกเขากลับไม่เจอชาวเมืองที่เป็นมนุษย์เลย จนเดินทางมาถึงด้านหน้าโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วและได้เห็นการต่อสู้ของทั้งสอง

         

     “พวกเจ้าเป็นใครกัน?” เซียงตังถามออกไป ระหว่างต่อสู้ เขาไม่เคยพบกับอสูรกลุ่มนี้มาก่อน

         

      “โง่เง่ายิ่งนัก นี่คือประมุขแห่งตระกูลฟู่ เจ้าคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตระกูลฟู่นั้นเป็นอสูร มีเพียงฟู่เพี่ยวเลี่ยงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ เพื่อใช้หลอกพวกมนุษย์หน้าโง่เช่นเจ้า” ซงยวนตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ เรื่องนี้มีเพียงตระกูลอสูรทั้งห้าเท่านั้นที่รู้ความจริง

         

     “ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นใด แต่นับจากนี้เมืองแห่งนี้จะเป็นของเผ่าอสูรเท่านั้น” ฟู่เพี่ยน [:เต็มไปด้วยความหลอกลวง] ประมุขของตระกูลฟู่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา

         

     “หมายความว่าตระกูลอสูรทั้งหก ตั้งใจที่จะยึดครองเมืองแห่งนี้แต่แรกอยู่แล้วสินะ คำพูดของพวกเจ้านั้นเป็นดั่งคำสารภาพผิด ไม่อาจจะแก้ตัวในภายหลังได้อีกแล้ว” เซียงตังปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดออกมา เขานั้นปิดกั้นพลังที่แท้จริงของตนเองเอาไว้

         

     “เซียงตัง เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซงยวนถามออกไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าเซียงตังจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

         

      “ข้าคือทายาทของบรรพชนผู้ก่อตั้งเมืองแห่งนี้ ในอดีตบรรพชนเผ่าอสูรของพวกเจ้าและบรรพชนของข้าเคยสาบานต่อฟ้าดินว่า จะอยู่ร่วมกันโดยไม่ใช้กำลังในการแก้ไขความขัดแย้ง หากผิดคำสาบาน สายเลือดแห่งบรรพชนในกายข้าจะถูกปลุกขึ้นมา และทำลายล้างพวกเจ้าจนสิ้น” เซียงตังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ผิดกับพลังที่ประทุออกมาจากร่างกาย

         

     “เยือกเย็นดั่งเหมันต์ ฟาดฟันดั่งอัสนี” เซียงตังกล่าวถึงถ้อยคำที่ถูกบันทึกไว้ในสายเลือดของเขา พร้อมกับตวัดกระบี่ไปเบื้องหน้าของเขา ร่างกายของกองกำลังอสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาค่อย ๆ กลายเป็นก้อนน้ำแข็งและแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีแม้เลือดสักหยดที่จะร่วงหลนลงบนพื้น

         

     เซียงตังมองไปที่ประตูเมือง เขาทะยานขึ้นไปบนกำแพงและมองดูการต่อสู้ที่ด้านนอก ดูเหมือนว่าใกล้ที่จะจบลงแล้วเช่นกัน

         

      นอกประตูเมืองเหลือเพียงห้าชีวิตที่เหลือรอดในตอนนี้ คือเอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ ซงซือ จัวส่ง และฟู่เพี่ยวเลี่ยง เท่านั้น

         

      เนื่องจากซงซือและ จัวส่งนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปด ด้วยฝีมือของพวกนางในตอนนี้ไม่อาจที่จะแช่แข็งพวกเขาทั้งสองได้

         

      “ไม่คิดเลยว่าจะมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งเช่นพวกเจ้าทั้งสอง ข้าต้องการทราบชื่อของพวกเจ้าก่อนที่จะต่อสู้กันอีกครั้ง” ซงซือถามออกไป ในตอนนี้เขารู้สึกชื่มชมความสามารถของพวกนางเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การถามชื่อในครั้งนี้ เป็นการยอมรับฝีมือของอีกฝ่ายเท่านั้น

         

     “ข้ามีนามว่าเอียจื่ออวิ๋น” จื่ออวิ๋นหยุดมือที่บรรเลงกู่เจิ้งเสียงสวรรค์และบอกชื่อของนางออกไป

         

     “ส่วนข้านั้นมีนามว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อ” หนิงเอ๋อก็หยุดมือของนางพร้อมกับบอกชื่อออกไปเช่นกัน

         

     “ดูจากวรยุทธของนางทั้งสองแล้ว คงเรียกได้ว่าธิดาวายุเหมันต์และธิดาวายุอัสนีสินะ” เซียงตังที่แอบดูอยู่บนกำแพงพูดขึ้นมาพร้อมกับแอบยิ้ม

         

     “ข้านั้นมีนามว่าซงซือ เป็นประมุขแห่งตระกูลซง ผู้สืบสายเลือดแห่งพญาราชสีห์เพลิง” ซงซือปลดปล่อยลมปราณที่เป็นดั่งเปลวเพลิงขึ้นมา หิมะที่พัดผ่านมาที่ตัวเขานั้นถูกเปลวไฟอันร้อนแรงหลอมละลายไปอย่างรวดเร็ว


         

     “ข้านั้นมีนามว่าจัวส่ง เป็นประมุขของตระกูลจั่ว ผู้สืบสายเลือดแห่งพญาหมีเพลิงโลกันต์” ลมปราณที่มีเป็นดั่งเปลวเพลิงสีดำเริ่มปกคลุมตัวของเขา ซึ่งก็มีความร้อนแรงไม่ต่างต่างจากของซงซือเลยแม้แต่น้อย...............จบตอน



แต่งโดย นายมะพร้าว


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง