Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.74 ธิดาวายุเหมันต์และธิดาวายุอัสนี
“เจ้าเป็นใครกัน
อย่าได้มายุ่งเรื่องของพวกข้า” ซงซือพูดออกไปด้วยความไม่พอใจที่มีคนเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าเดิม
“พวกข้าเป็นองครักษ์ของเถ้าแก่โหย่ว
จะให้ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ก็คงจะทำไม่ได้” หนิงเอ๋อที่นั่งดื่มชาอยู่
พูดออกไป
“หากคิดที่จะใช้กำลัง
พวกข้าก็หาได้ขัดข้อง แต่ข้าเกรงว่าโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วจะเสียหาย หากเจ้ายินดี
พวกเราไปตัดสินเรื่องนี้กันที่นอกเมือง จะไม่ได้ผิดกฏของเมืองนี้ด้วย เจ้ามีความเห็นเช่นใดบ้าง”
เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุให้ซงซือรู้สึกโมโหมากขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเอง
ตราบเท่าที่อยู่ในอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ใช้กำลัง” เซียงตังพูดแสร้งขึ้นมา
ด้วยฐานะของกองกำลังจากส่วนกลาง เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำผิดกฏเป็นอันขาด
“นี่พวกท่านทำอันใดกัน
เหตุใดจึงส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นเช่นนี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเดินมาจากทางด้านนอกและพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” ซงซือหันไปพูดกับฟู่เพี่ยวเลี่ยงด้วยความไม่พอใจ
“หากเป็นเรื่องในเมืองนี้ข้าก็ย่อมสามารถมีส่วนร่วมด้วยได้
เพราะข้าเองก็เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดอย่างไม่สนใจท่าทีของซงซือเท่าใดนัก
“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลซงมีความขัดแย้งกับเถ้าแก่โหย่ว
และต้องการใช้กำลังในการตัดสิน ข้าเองก็เป็นมนุษย์ย่อมต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับเถ้าแก่โหย่ว
แต่ไม่คิดเลยว่าสาวงามทั้งสองที่ข้าเคยเห็นจะกลายเป็นองครักษ์ของเถ้าแก่โหย่วเช่นนี้
แม่นางทั้งสองเองก็มีความแข็งแกร่งไม่น้อย
เหตุใดจึงไม่ใช้กำลังสั่งสอนอสูรพวกนี้เล่า” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดต่อและจับจ้องไปที่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม
“ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดต่อสู้กันทั้งนั้น!” เซียงตังพูดด้วยความไม่พอใจ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจคำพูดของเขาเลยสักคน
“เซียงตัง
เรื่องนี้ข้าว่าพวกเราที่เป็นกองกำลังจากส่วนกลางอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเลยจะดีกว่า”
กองกำลังจากส่วนกลางที่เป็นอสูรก้าวออกมาจากด้านหลังของซงซืออีกคน เขามีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากซงซือเท่าใดนักคือมีใบหน้าเป็นดั่งราชสีห์
ที่ดูแล้วดุดันเพราะเขาคือน้องชายของซงซือ มีนามว่าซงยวน [凶冤:ความอยุติธรรมที่เลวร้าย]
“ซงยวน
เจ้าลืมหน้าที่กองกำลังส่วนกลาง และไปเข้าข้างตระกูลของตนเช่นนั้นหรือ?” เซียงตังถามออกไปด้วยความไม่พอใจ
พร้อมกับถือกระบี่พุ่งไปโจมตีซงยวนทันที
“พี่ใหญ่ทางนี้ข้าจัดการเอง
พวกท่านอย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
ซงยวนพูดออกไปพร้อมกับชักดาบออกมาและต้านรับเซียงตังทันที
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญพวกเจ้าออกไปสู้กันที่นอกเมืองได้
ข้านั้นจะเป็นพยานให้แก่ผู้ที่ชนะ” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดออกไปขณะที่เห็นว่า
กองกำลังจากส่วนกลางที่เป็นมนุษย์และอสูรเริ่มต่อสู้กัน
“ได้! ข้าจะนำกองกำลังไปรอพวกเจ้าที่นอกประตูเมือง
หากพวกเจ้าปฏิเสธนั่นหมายความว่ายอมรับความพ่ายแพ้ โรงเตี๊ยมเหรินโหย่วและทรัพย์สินทั้งหมดของเถ้าแก่โหย่ว
จะต้องตกเป็นของตระกูลซงทันที” ซงซือหัวเราะและนำกองกำลังทั้งหมดออกไปที่นอกเมือง
และมีจั่วสงนำอีกกองกำลังหนึ่งติดตามไป
ตอนนี้ชาวเมืองที่เป็นมนุษย์ส่วนใหญ่
ได้ถูกพาออกไปนอกเมืองแล้ว โดยหลบพักอยู่ในถ้ำใกล้ ๆ หนิงเอ๋อได้มอบยาผนึกไอเย็นให้แก่พวกเขาแล้ว
ทำให้ไม่รู้สึกหนาวจากอากาศภายนอก ส่วนสินค้าต่าง ๆ
ส่วนใหญ่ก็ถูกนำเก็บไว้ในแหวนห้วงมิติแล้ว แม้ว่าจะสูญเสียโรงเตี๊ยมไป
พวกซงซือก็ได้เพียงโรงเตี๊ยมที่ว่างเปล่าเท่านั้น
หนิงเอ๋อให้กองกำลังจากส่วนกลางที่เหลือ
คุ้มกันเถ้าแก่โหย่วและครอบครัวเอาไว้ และให้พาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย
ก็คือถ้ำนอกเมืองนั่นเอง
ที่นอกประตูเมืองกองกำลังอสูรของตระกูลซงและตระกูลจั่ว
ยืนอยู่หลายแสนตน พวกเขาใช้ลมปราณห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันความเหน็บหนาว
และยังต้องคอยระวังฟ้าที่ฝ่าลงมาเป็นระยะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สวมชุดเกราะและถืออาวุธที่ทำจากโลหะ
จึงมีเพียงเกราะหนังและขวานที่ทำมาจากหินเท่านั้น
เอียจื่ออวิ๋นที่สวมเกราะเทพวายุเหมันต์เดินออกมาพร้อมกับเซี่ยวหนิงเอ๋อที่สวมเกราะเกราะเทพวายุอัสนีที่มีสีเหลืองอ่อน
“พวกเจ้านั้นยังมิได้บอกเลยว่า
หากพวกเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ ข้าจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน”
เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ด้วยเกราะเทพวายุเหมันต์ทำให้นางไม่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บของพายุหิมะโดยรอบเลยแม้แต่น้อย
“หากเจ้าสามารถเอาชนะกองกำลังของข้าได้
ไม่ว่าปราถนาสิ่งใดก็จงเอ่ยมาได้” ซงซือพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความเหยียดหยัน
แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงพลังระดับเทพสงครามจากพวกนาง
แต่ก็อยู่แค่ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น เขาจึงไม่คิดถึงความพ่ายแพ้แม้แต่น้อย
“จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี
กู่เจิ้งเสียงสวรรค์” เอียจื่ออวิ๋นนำกู่เจิ้งเสียงสวรรค์ออกมา พร้อมกับเก็บศิราเร้นเมฆาเอาไว้นางเริ่มใช้นิ้วบรรเลงท่วงทำนองแห่งวายุเหมันต์ผู้ที่มีความแข็งแกร่งต่ำกว่าระดับเทพสงครามจะเริ่มถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งโดยที่เริ่มจากขาของพวกเขา
เมื่อขาถูกแช่แข็งก็จะถูกยึดด้วยพื้นหิมะ
ทำให้พวกเขาไม่อาจที่จะขยับขาหลบหนีได้อีก จากนั้นไอเย็นก็ค่อย ๆ เกาะไปตามต้นขา
ลำตัว แขน และสุดท้ายก็ถูกแช่แข็งไปทั้งตัว จนมองดูราวกับเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็ง
“หร่วนเทพธิดา
กระบี่เทพวายุอัสนี!” หนิงเอ๋อนำกระบี่ที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ได้ปรับปรุงให้ดียิ่งกว่ากระบี่วายุอัสนีเดิมที่นางเคยใช้ ที่เก็บซ่อนไว้ในหร่วนเทพธิดาออกมา
และเก็บศิราเร้นเมฆาเอาไว้เช่นกัน แค่เพียงกวัดแกว่งกระบี่เพียงเล็กน้อย
ร่างกายของกองกำลังอสูรที่ถูกแช่แข็งก็ถูกฟ้าฝ่าลงมาจนร่างกายที่เป็นน้ำแข็งแตกออกเป็นเสี่ยง
ๆ ร่างกายที่เป็นน้ำแข็งแตกกระจายออกไป ส่องแสงประกายสะท้อนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา
ซึ่งดูงดงามยิ่งนัก
กองกำลังหลายแสนถูกสังหารในพริบตา
ตอนนี้เหลือเพียงยอดฝีมือระดับเทพสงครามอีกราวหมื่นคนเท่านั้นที่รอดอยู่ได้
“นี่คือสิ่งที่พวกข้าต้องการ
หากพวกข้าเอาชนะได้ อสูรในอาณาจักรแห่งนี้จะต้องสูญสิ้น”
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อพูดออกไปพร้อมกัน
“พลังของพวกนางมิได้ด้อยไปกว่าข้าเลยแม้แต่น้อย!” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
แต่วรยุทธของพวกนางไม่อาจที่จะร้ายเขาได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงแอบยิ้มอยู่ในใจ
“ฆ่าพวกนางซะ!” ซงซือและจั่วสง
สั่งให้กองกำลังระดับเทพสงครามที่เหลืออยู่บุกเข้าโจมตีทันที
เพราะเขารู้แล้วว่าพลังของพวกนางใช้ได้กับพวกที่มีฝีมือต่ำกว่าระดับเทพสงครามเท่านั้น
“ท่วงทำนองหิมะผนึกวิญญาณ!” เอียจื่ออวิ๋นใช้นิ้วกรีดลงบนกู่เจิ้งเสียงสวรรค์อีกครั้ง
ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของนางดีดออกไป
ก็จะทำให้เกล็ดหิมะโดยรอบพุ่งเข้าใส่ศัตรูราวกับเป็นอาวุธลับที่มีความคมยิ่งนัก
ด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ
เป็นการยากนักที่จะแยกให้ออกว่าเกล็ดหิมะใดเป็นของจริง
หรือเกล็ดหิมะใดคือสิ่งที่นางปล่อยออกมา
และยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งที่ถูกเกล็ดหิมะนี้ปักที่ร่างกาย ร่างกายของพวกเขาจะค่อย
ๆ ถูกจับตัวเป็นน้ำแข็งไม่ต่างไปจากกองกำลังอสูรก่อนหน้านี้
ทางด้านเซี่ยวหนิงเอ๋อนางเก็บกระบี่เทพวายุอัสนีเอาไว้ในหร่วนเทพธิดา
และเริ่มทำการบรรเลงท่วงทำนองของนางขึ้นมาเช่นกัน
“ท่วงทำนองอัสนีสู่สวรรค์!”
ท่วงทำนองของหนิงเอ๋อสอดประสานเข้ากับท่วงทำของของจื่ออวิ๋น
ร่างที่ถูกแช่แข็งจะถูกสายฟ้าผ่าลงมาในทันที ลำแสงสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า
เป็นดั่งแสงนำทางให้วิญญาณของเจ้าของร่างขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะแตกกระจายออกเป็นสะเก็ดน้ำแข็ง
ยิ่งบรรเลงท่วงทำนองทั้งสองนานเท่าใด
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของทั้งสองก็เพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น
ทำให้ยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่สอง สาม และสี่ เริ่มที่จะถูกแช่แข็ง โดยที่กองกำลังอสูรไม่อาจที่จะเข้ามาใกล้ทั้งสองคนได้เลยแม้แต่น้อย
ทางด้านในเมืองการต่อสู้ระหว่างเซียงตังและซงยวนก็ยังไม่จบลง
เนื่องจากระดับพลังของทั้งสองนั้นทัดเทียมกัน และยังไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาแทรก
ด้านนอกโรงเตี๊ยมก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
มีกองกำลังอสูรลึกลับกลุ่มหนึ่งเริ่มบุกไปยังโรงเตี๊ยมและร้านค้าอื่น ๆ ของมนุษย์
พวกเขาคือกองกำลังอสูรจากตระกูลฟู่นั่นเอง ด้วยคำสั่งของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ทำให้พ่อบุญธรรมของเขานำกองกำลังเข้าบุกยึดภายในเมืองเอาไว้
แต่พวกเขากลับไม่เจอชาวเมืองที่เป็นมนุษย์เลย จนเดินทางมาถึงด้านหน้าโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วและได้เห็นการต่อสู้ของทั้งสอง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” เซียงตังถามออกไป ระหว่างต่อสู้
เขาไม่เคยพบกับอสูรกลุ่มนี้มาก่อน
“โง่เง่ายิ่งนัก
นี่คือประมุขแห่งตระกูลฟู่ เจ้าคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตระกูลฟู่นั้นเป็นอสูร
มีเพียงฟู่เพี่ยวเลี่ยงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ เพื่อใช้หลอกพวกมนุษย์หน้าโง่เช่นเจ้า”
ซงยวนตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ
เรื่องนี้มีเพียงตระกูลอสูรทั้งห้าเท่านั้นที่รู้ความจริง
“ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นใด
แต่นับจากนี้เมืองแห่งนี้จะเป็นของเผ่าอสูรเท่านั้น” ฟู่เพี่ยน [富骗:เต็มไปด้วยความหลอกลวง]
ประมุขของตระกูลฟู่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“หมายความว่าตระกูลอสูรทั้งหก
ตั้งใจที่จะยึดครองเมืองแห่งนี้แต่แรกอยู่แล้วสินะ
คำพูดของพวกเจ้านั้นเป็นดั่งคำสารภาพผิด ไม่อาจจะแก้ตัวในภายหลังได้อีกแล้ว”
เซียงตังปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดออกมา
เขานั้นปิดกั้นพลังที่แท้จริงของตนเองเอาไว้
“เซียงตัง
เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซงยวนถามออกไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเซียงตังจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“ข้าคือทายาทของบรรพชนผู้ก่อตั้งเมืองแห่งนี้
ในอดีตบรรพชนเผ่าอสูรของพวกเจ้าและบรรพชนของข้าเคยสาบานต่อฟ้าดินว่า
จะอยู่ร่วมกันโดยไม่ใช้กำลังในการแก้ไขความขัดแย้ง หากผิดคำสาบาน สายเลือดแห่งบรรพชนในกายข้าจะถูกปลุกขึ้นมา
และทำลายล้างพวกเจ้าจนสิ้น” เซียงตังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
ผิดกับพลังที่ประทุออกมาจากร่างกาย
“เยือกเย็นดั่งเหมันต์
ฟาดฟันดั่งอัสนี” เซียงตังกล่าวถึงถ้อยคำที่ถูกบันทึกไว้ในสายเลือดของเขา
พร้อมกับตวัดกระบี่ไปเบื้องหน้าของเขา
ร่างกายของกองกำลังอสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาค่อย ๆ
กลายเป็นก้อนน้ำแข็งและแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไม่มีแม้เลือดสักหยดที่จะร่วงหลนลงบนพื้น
เซียงตังมองไปที่ประตูเมือง
เขาทะยานขึ้นไปบนกำแพงและมองดูการต่อสู้ที่ด้านนอก
ดูเหมือนว่าใกล้ที่จะจบลงแล้วเช่นกัน
นอกประตูเมืองเหลือเพียงห้าชีวิตที่เหลือรอดในตอนนี้
คือเอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ ซงซือ จัวส่ง และฟู่เพี่ยวเลี่ยง เท่านั้น
เนื่องจากซงซือและ
จัวส่งนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปด
ด้วยฝีมือของพวกนางในตอนนี้ไม่อาจที่จะแช่แข็งพวกเขาทั้งสองได้
“ไม่คิดเลยว่าจะมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งเช่นพวกเจ้าทั้งสอง
ข้าต้องการทราบชื่อของพวกเจ้าก่อนที่จะต่อสู้กันอีกครั้ง” ซงซือถามออกไป
ในตอนนี้เขารู้สึกชื่มชมความสามารถของพวกนางเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การถามชื่อในครั้งนี้
เป็นการยอมรับฝีมือของอีกฝ่ายเท่านั้น
“ข้ามีนามว่าเอียจื่ออวิ๋น”
จื่ออวิ๋นหยุดมือที่บรรเลงกู่เจิ้งเสียงสวรรค์และบอกชื่อของนางออกไป
“ส่วนข้านั้นมีนามว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อ”
หนิงเอ๋อก็หยุดมือของนางพร้อมกับบอกชื่อออกไปเช่นกัน
“ดูจากวรยุทธของนางทั้งสองแล้ว
คงเรียกได้ว่าธิดาวายุเหมันต์และธิดาวายุอัสนีสินะ”
เซียงตังที่แอบดูอยู่บนกำแพงพูดขึ้นมาพร้อมกับแอบยิ้ม
“ข้านั้นมีนามว่าซงซือ
เป็นประมุขแห่งตระกูลซง ผู้สืบสายเลือดแห่งพญาราชสีห์เพลิง”
ซงซือปลดปล่อยลมปราณที่เป็นดั่งเปลวเพลิงขึ้นมา
หิมะที่พัดผ่านมาที่ตัวเขานั้นถูกเปลวไฟอันร้อนแรงหลอมละลายไปอย่างรวดเร็ว
“ข้านั้นมีนามว่าจัวส่ง
เป็นประมุขของตระกูลจั่ว ผู้สืบสายเลือดแห่งพญาหมีเพลิงโลกันต์”
ลมปราณที่มีเป็นดั่งเปลวเพลิงสีดำเริ่มปกคลุมตัวของเขา
ซึ่งก็มีความร้อนแรงไม่ต่างต่างจากของซงซือเลยแม้แต่น้อย...............จบตอน
Scroll to Top