ฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นยังได้รับอาวุธเป็นแส้จงอางขาว
และยาทิพย์มังกรคราม จากบริวารแห่งเทพมาด้วย ซึ่งก็เป็นอาวุธวิเศษระดับพระเจ้าเช่นกัน
ก่อนที่จะเดินทางกลับเมือง
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อรีบไปจับตามองตรงประตูทางเข้า ทิศที่ใกล้กับหุบเขามากที่สุด เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้ใดที่จะกลับเข้ามาบ้าง นอกเหนือไปจากพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว พวกนางยังสัมผัสถึงลมปราณระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดที่จู่ ๆ ก็กระจายออกมาราวกับเกิดระเบิดครั้งใหญ่ พวกนางยังไม่เคยสัมผัสว่ามีผู้ใดที่พลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดในเมืองนี้มาก่อน ดังนั้นหากอีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมาพวกนางก็จะรับรู้ได้ทันที
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามก็มีชายคนหนึ่งลอบผ่านประตูเมืองมาอย่างรวดเร็ว จนทหารยามไม่อาจสังเกตุเห็นได้ แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของพวกนางไปได้ พวกนางจดจำได้เป็นอย่างดีว่า ชายผู้นี้คือฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั่นเอง
“ก่อนหน้านี้เขายังเป็นเพียงผู้ไร้วรยุทธ แต่เหตุใดจึงกลับมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้” หนิงเอ๋อหันไปพูดกับจื่ออวิ๋นด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าที่เราสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ก็เป็นได้” เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป
“พวกเราควรจะทำเช่นใดกันดี เมื่อเป้าหมายปรากฏตัวแล้ว การทำการค้าก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก” หนิงเอ๋อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกไป
“จริงอยู่ ที่เป้าหมายของพวกเราคือกระจกข้ามภพ แต่ข้าเกรงว่าหากเราไปขโมยกระจกข้ามภพมา อาจจะเกิดสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรได้” จื่ออวิ๋นตอบกลับไป
ปัจจุบันความสมดุลของอาณาจักรแห่งนี้ เกิดจากการอำนาจเงินตรา ทุกคนอยู่ภายใต้กฏที่สร้างมาร่วมกันโดยมีส่วนกลางเป็นผู้ควบคุม การที่อสูรยอมอยู่อย่างสงบกับมนุษย์เพราะพวกอสูรนั้นมีฐานะทางการเงินที่สูงกว่า พวกเขาจึงมองมนุษย์เป็นเพียงแรงงานที่มีค่า บัดนี้ความสมดุลเดิมนั้น พวกนางได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ด้วยความจริงที่ว่าอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ หากสงครามเกิดขึ้นจะต้องมีคนล้มตายไม่น้อยแน่
“ข้านั้นได้ทำยาผนึกไอเย็นไว้เป็นจำนวนมาก หากเราเตรียมการโดยการแยกมนุษย์กับอสูรออกจากกัน ข้าคิดว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ง่ายกว่า” หนิงเอ๋อจ้องไปที่จื่ออวิ๋นและพูดออกไปอีกครั้ง
หากทานยาผนึกไอเย็นจะสามารถทนต่ออากาศหนาวเหน็บได้ราวสองชั่วยาม หากเกิดสงครามก็สามารถอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองเป็นการชั่วคราวได้
“ถ้าเช่นนั้น ในช่วงนี้พวกเราจะทำการค้าไปตามปกติ แต่ต้องกำชับให้เถ้าแก่โหย่วและสหายของเขา เริ่มทำการชักชวนให้มนุษย์ย้ายมาอยู่ทางด้านใต้ของเมือง เพื่อให้ง่ายต่อการคุ้มครองพวกเขา” จื่ออวิ๋นพยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นพวกนางก็กลับไปหาเถ้าแก่โหย่วอีกครั้ง
ด้วยสินค้าที่นำมาขาย ทำให้ฐานะทางการเงินของเถ้าแก่โหย่วนั้นสูงขึ้นจนสามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สองได้ เหลือเพียงตระกูลซงเท่านั้นที่อยู่ในอันดับที่หนึ่ง ในช่วงหลายวันมานี้จื่ออวิ๋นได้ปรับเปลี่ยนการ ให้ร้านค้าอื่น ๆ มาซื้อสินค้าจากโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่โหย่ว ก่อนที่จะนำไปขายที่ร้านของตนเอง ทำให้ทรัพย์สินของเถ้าแก่โหย่วเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว [ก่อนหน้านี้ร้านอื่น ๆ จะได้รับสินค้าจากจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อโดยตรง ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่าย การเปลี่ยนวิธีการเช่นนี้ทำให้ร้านค้าอื่นต้องจ่ายเงินให้แก่เถ้าแก่โหย่ว โดยขายให้ในราคาครึ่งหนึ่งของราคาขายหน้าร้าน]
ก่อนที่ตระกูลอสูรทั้งห้าจะเดินทางกลับมา เนี่ยลี่ก็ได้เดินทางมาอีกครั้งเมื่อครบเจ็ดวัน จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อจึงเดินทางออกมาพบเนี่ยลี่อีกครั้ง
“ข้าได้ขายผงชาและสุราชีเฟิ่งจำนวนมากให้แก่ตระกูลอสูรทั้งห้า เมื่อพวกเขากลับมายังอาณาจักรแห่งนี้ ให้พวกเจ้านำผงชาชั้นดี และสุราอู่เหลียงเยี่ย ที่ข้านำมาออกขายในราคาเดียวกัน” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหยิบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของส่งให้แก่ทั้งสองคน พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันสดใส
“พวกข้านั้นก็พอที่จะทราบแล้วว่า กระจกข้ามภพนั้นอยู่ที่ใด ตอนนี้ข้ายังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของชาวเมือง จึงยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้” จื่ออวิ๋นรับแหวนจากเนี่ยลี่และตอบกลับไป
“เมื่อข้าขอให้พวกเจ้าช่วยเหลือในเรื่องนี้ ข้าจะไม่ยืนมือเข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของพวกเจ้า” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“ข้าคิดว่าอาณาจักรแห่งนี้มิได้เหมาะสมในการใช้ชีวิตแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ข้าต้องการที่จะพามนุษย์ที่อยู่ที่นี่ไปยังอาณาจักรแห่งอื่น” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับมองดูสภาพอากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยพายุหิมะอันหนาวเหน็บและ สายฟ้าที่ผ่าออกมาเป็นระยะ
“หากชาวเมืองต้องการเช่นนั้นข้าก็มิได้ติดปัญหาอันใด แต่ข้าขอแนะนำเล็กน้อยว่า ด้วยพลังของพวกเจ้าทั้งสอง การที่จะหยุดพายุหิมะ หรือสายฟ้าเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เนี่ยลี่ตอบกลับไปอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้ม
“อาจจะจริงดั่งเจ้าว่า” จื่ออวิ๋นรวบรวมลมปราณจนเกิดพายุหิมะบนฝ่ามือของนาง และรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็งขึ้นมา นางนั้นยังไม่เคยใช้พลังของนางอย่างเต็มที่เลยสักครั้ง เมื่อสร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมา จื่ออวิ๋นก็กำฝ่ามือ ทำให้ก้อนน้ำแข็งแตกกระจายออกไป เศษน้ำแข็งที่แตกกระจายเป็นประกายอย่างงดงาม ทำให้ใบหน้าของจื่ออวิ๋นนั้นดูงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ครั้งหน้าที่ข้าเดินทางมา พวกเจ้าคงจะทำงานนี้ได้สำเร็จ ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะกลับมารับพวกเจ้า” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเปิดเส้นทางสวรรค์เพื่อเดินทางกลับไป
เนื่องจากสินค้าเดิมที่นำมาขายใกล้ที่จะหมดแล้ว จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อจึงรีบนำสินค้าใหม่ไปเตรียมขายทันที ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ตระกูลอสูรทั้งห้าได้เดินทางกลับมาถึง
ตระกูลอสูรทั้งห้ารีบนำผงชาและสุราชีเฟิ่งไปวางขายยังร้านค้าต่าง ๆ ทันที แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่แทบจะไม่มีผู้ใดมาซื้อเลย
“นี่มันบ้าอะไรกัน ผงชาและสุราชีเฟิ่งที่พวกเรานำมาก็มิได้ต่างจากของมนุษย์เหล่านั้น แต่เหตุใดจึงไม่มีใครมาซื้อเช่นนี้” ซงซือพูดคุยในการประชุมของหกตระกูลอสูร [รวมตระกูลฟู่]
“ผู้ใดจะมาซื้อสินค้าจากพวกเจ้ากันเล่า พวกมนุษย์นำชาที่หอมละมุนยิ่งกว่ามาขายในราคาที่เท่ากัน รวมถึงสุราอู่เหลียงเยี่ยที่หอมหวลและลำล้ำยิ่งกว่าสุราชีเฟิ่งอีกด้วย แม่แต่ข้ายังต้องยอมจ่ายเงินเพื่อชาและสุราเหล่านั้นเลย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่แยแสเท่าใดนัก ขณะที่ยกชาขึ้นมาดื่ม
“เจ้ารู้ไหมว่า พวกข้านั้นต้องใช้เงินกว่าห้าแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำในการซื้อชาและสุราชีเฟิ่งเหล่านั้นมา แต่กลับขายไม่ได้ เจ้ากลับพูดจาเช่นนี้หมายความเช่นใดกัน?” ซงซือพูดด้วยความไม่พอใจที่เห็นท่าทีของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
“ข้าได้รับบัญชามาจากท่านบริวารแห่งเทพ เมื่อพวกมนุษย์นั้นต่อต้านการปกครองทางการเงินของพวกเรา ก็จงใช้สิ่งที่พวกเราเหนือกว่า นั่นคือพละกำลัง และข้าคือผู้นำกองกำลังของเผ่าอสูร” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและพูดออกไปอย่างใจเย็น
“ผู้ไร้วรยุทธเช่นเจ้า มิหนำซ้ำยังเป็นมนุษย์จะมาเป็นผู้นำกองกำลังอสูรของพวกเราได้เช่นใดกัน” จั่วสง ตัวแทนของตระกูลจั่ว ทุบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงเมือ่ได้ยินคำพูดของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
“ผู้นำกองกำลังสมควรเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเหมาะสมยิ่งแล้ว” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกทั้งสอง พร้อมกับปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามออกมา
“นี่มันพลังรับระดับเทพสงครามขั้นสูงสุด เป็นไปไม่ได้” จั่วสงพูดด้วยความตกใจ จั่วสงและซงซือนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปดเท่านั้น
“นี่คือยาทิพย์มังกรคราม ข้านั้นได้มาจากท่านบริวารแห่งเทพ ข้าจะแบ่งให้พวกท่าน หากเราเริ่มทำสงคราม จะต้องทำให้จบลงอย่างรวดเร็ว หากเป็นไปได้เราเป้าหมายของพวกเราคือเถ้าแก่โหย่ว และสหายของเขา แต่จงอย่าลืมว่าพวกเขาจะต้องมีผู้คุ้มกันที่มีความแข็งแกร่งระดับเทพสงครามอยู่เป็นแน่ ด้วยฐานะทางการเงินของพวกเขา พวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังของส่วนกลาง” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงมอบยาทิพย์มังกรครามให้แก่ จั่วสงและซงซือ และบอกกล่าวถึงสิ่งที่ต้องทำ
“ยอดฝีมือของส่วนกลางที่เป็นอสูรนั้น ล้วนแต่เป็นพวกของเรา นั่นหาใช่ปัญหาไม่”ซงซือพูดแทรกขึ้นมา
“ข้าจะให้พวกเขากันยอดฝีมือจากส่วนกลางที่เป็นมนุษย์ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับสงครามในครั้งนี้ พวกเราจะนำกองกำลังไปยังร้านค้าทั้งสิบเก้าแห่งของเถ้าแก่โหย่ว และสหายของมันและบังคับให้พวกมันขายกิจการทั้งหมด หากพวกมันปฏิเสธพวกเราก็จะสังหารพวกมันให้หมด” จั่วสงพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างเลือดเย็น
“หากเป็นไปได้ ข้าต้องการให้ต่อสู้กันที่ด้านนอก เพื่อลดความเสียหายภายในเมือง” ฟู่เพี่ยวเลี่ยง ไม่ต้องการให้พื้นที่ในเมืองเกิดความเสียหายโดยไร้ประโยชน์
“แต่การต่อสู้ด้านนอกนั้น มันอันตรายยิ่งนัก เจ้าเองก็รู้ถึงสภาพอากาศของอาณาจักรแห่งนี้” ซงซือกล่าวแย้งออกไปทันที
“เรื่องนั้นข้าจะหาทางเอง พวกท่านจงไปเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม เราจะลงมือกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงโบกมือเพื่อจบเรื่อง ก่อนที่จะสั่งให้ทั้งสองคนไปจัดเตรียมกองกำลังเอาไว้ และแยกย้ายกันออกไป
ทางด้านเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้น สังเกตุเห็นว่าการค้าของพวกนางนั้นราบรื่นจนเกินไป และร้านค้าของเผ่าอสูรทั้งห้าต่างก็ปิดเงียบ ทำให้การค้าของเถ้าแก่โหย่ว และสหายคึกคักยิ่งนัก ตอนนี้เถ้าแก่โหย่วนั้นได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้ร่ำรวยที่สุดของเมืองไปแล้ว โดยอันดับที่สองถึงสิบก็ตกเป็นของสหายของเถ้าแก่โหย่วทั้งหมด
โดยตำแหน่งผู้ร่ำรวยที่สุดนั้น จะได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังของส่วนกลาง ทำให้มีความปลอดภัยยิ่งนัก ซึ่งผู้ที่อยู่ในอันดับรองลงมาก็จะมีกองกำลังที่คอยปกป้องลดหลั่นกันลงไป
ทางด้านกองกำลังของเผ่าอสูรนั้น ก็ได้เตรียมความพร้อมทั้งหมดแล้ว โดยที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงจะบัญชาการอยู่เบื้องหลังและให้ซงซือและจั่วส่งออกหน้าแทน เมื่อเตรียมการเสร็จเช้าวันต่อมาพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วของเถ้าแก่โหย่วทันที
“เถ้าแก่โหย่ว พวกข้าต้องการเจรจา ตระกูลซงของข้าต้องการที่จะซื้อโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วของท่าน” ซงซือตะโกนอยู่ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยม
“ข้าเองนั้นหาได้ขัดสนเงินทอง โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ของข้านั้นตั้งใจที่จะเก็บไว้ให้แก่ลูกชายข้า ข้านั้นคงไม่ขายให้แก่พวกท่านหรอกนะ” เถ้าแก่โหย่วเดินไปด้านหน้าโรงเตี๊ยมและพูดด้วยความสุภาพ ด้านหลังของเขามียอดฝีมือจากส่วนกลางยืนอยู่ด้วยหลายคน
“หากไม่ยอมข้าคงต้องใช้กำลังแล้ว” ซงซือพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันพร้อมกับปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามออกมา
“ซงซือ ท่านกำลังทำผิดกฏของส่วนกลาง จงหยุดและหันหลังกลับไปซะ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องทำตามกฏ” ยอดฝีมือจากส่วนกลางพูดพร้อมกับชักกระบี่ออกจากฝักเขานั้นแม้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เจ็ด แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำ อายุราวยี่สิบปี สวมใส่เสื้อเกราะสีดำมีสายตาที่ราวกับไร้ความรู้สึก
“เซียงตัง [相当:ความเป็นธรรม] เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับส่วนกลาง เจ้าจงหลบไปซะ” ซงซือเอ่ยปากไล่เซียงตัง ยอดฝีมือจากส่วนกลางให้หลบไป
“กฏเหล่านี้มนุษย์และอสูรต่างยึดถือ ตระกูลซงเองก็มีส่วนร่วมในการเขียนกฏขึ้นมา แล้วเหตุใดท่านจึงคิดจะฉีกมันทิ้งด้วยมือตนเองเช่นนี้?” เซียงตังถามกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“กฏพวกนั้นใช้มานานเกินไปแล้ว สมควรที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน” ซงซือแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างยิ่ง
“น่าขันยิ่งนัก ยามที่ตนเองได้ประโยชน์ก็ไม่เคยคิดที่จะปรับเปลี่ยน ผู้ที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองสามารถทำเรื่องขอให้ส่วนกลางปรับเปลี่ยนกฏได้ หากต้องการ แต่ต้องเป็นกฏที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายจึงจะยอมให้มีการแก้ไขได้ บัดนี้ที่ตระกูลซงมิได้ติดแม้แต่หนึ่งในสิบของผู้มั่งคั่งในเมืองนี้ กลับคิดที่จะขอแก้ไขกฏเช่นนั้นหรือ น่าไม่อายเสียจริง” เอียจื่ออวิ๋นนั่งฟังอยู่ในโรงเตี๊ยมอยู่นานแล้ว เริ่มรู้สึกไม่พอใจกับความเห็นแก่ตัวของซงซือจะพูดออกไปด้วยเสียงที่ดังเป็นอย่างมาก………………จบตอน