เนี่ยลี่นั้นทราบดีอยู่แล้วว่า
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อนั้นขาย ผงชาและสุราชีเฟิ่งราคาเท่าใด
เขาจึงบอกราคาที่สามารถให้พวกเขาทำกำไรได้บ้าง
แต่ดูเหมือนว่าซงซือผู้นี้จะรับโก่งราคาได้ไม่ง่ายนัก
“ท่านซงซือ อย่าได้โมโห
ท่านก็ทราบแล้วว่า ในเวลานี้อาณาจักรกำแพงสวรรค์ของเรากำลังมีสงคราม
สินค้าก็ย่อมราคาสูงกว่าปกติ โรงเตี๊ยมของข้านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของนิกายอสูรฟ้า
ท่านประมุขให้ข้านำผงชาและสุรามาออกขาย เพื่อที่จะหาเงินทุนเพื่อใช้ในสงคราม
หากท่านช่วยคือสินค้าเหล่านี้ ข้าก็จะนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านประมุข
ข้าเชื่อว่าท่านประมุขจะต้องยินดีเป็นแน่
และในภายภาคหน้าท่านอาจจะได้สิทธิ์ในการซื้อขายสินค้าในอาณาจักรแห่งนี้ก็เป็นได้”
เนี่ยลี่พยายามอธิบายอย่างช้า ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซงซือก็นิ่งเงียบไป หากอยู่ในช่วงสงคราม ข้าวยากหมากแพงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากแลกกับสิทธิ์ในการซื้อขายก็นับว่าคุ้มค่า เมื่อได้สิทธิ์ในการซื้อขายมาแล้ว
พ่อค้าอื่นจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ก็ไม่อาจที่จะซื้อของจากอาณาจักรกำแพงสวรรค์
ที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ได้
แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะเดินทางไปซื้อของที่อาณาจักรอื่นแทน
ก็ต้องแลกกับการเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกหลายวัน
และการซื้อขายกับอาณาจักรอื่นที่ไม่คุ้นเคย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
เขาจึงต้องคิดคำนวนผลประโยชน์ที่ได้รับว่าคุ้มค่าหรือไม่
“ข้าต้องการคำมั่นว่าจะได้รับหนังสือสิทธิ์ในการซื้อขายกับอาณาจักรกำแพงสวรรค์
และหากเป็นไปได้ ข้าต้องการให้นิกายอสูรฟ้าขัดขวางมิให้มนุษย์จากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
เข้าไปภายในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ได้” ซงซือยื่นข้อเสนอออกไป
โดยปกติแล้วมนุษย์กับอสูรจะไม่ทำการค้าร่วมกันเท่าใดนัก แต่ก็มีบางอาณาจักรที่เปิดพื้นที่ให้ทั้งสองฝ่ายซื้อขายกันได้
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
ข้านั้นมีป้ายหยกของนิกายอสูรฟ้า
ผู้ที่ไม่มีป้ายหยกนี้ไม่อาจที่จะทำการค้ากับนิกายอสูรฟ้าได้
ส่วนการขัดขวางพวกมนุษย์นั้นก็มิใช่เรื่องยากเลย
พวกเราต่างก็รังเกียจพวกมนุษย์ไม่ต่างจากมูลสัตว์
พรมแดนทางเหนือล้วนเป็นพื้นที่ของนิกายอสูรฟ้า
ท่านประมุขสามารถห้ามมิให้มนุษย์ข้ามผ่านมาได้เพียงสั่งการออกไปเท่านั้น”
เนี่ยลี่หยิบป้ายหยกที่เขาทำขึ้นมาให้
เป็นป้ายหยกที่มีตัวอักษรสีดำเขียนว่าเทียนเสีย [天邪:อสูรฟ้า]
และมีตัวอักษรสีทองเขียนว่าเหมาอวี้ [贸易:ค้าขาย]
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีผงชาและสุราชีเฟิ่งเท่าใดกัน?” ซงซือยอมรับในข้อเสนอ แม้ว่าจะได้กำไรจากการค้าไม่มากนัก
แต่สิทธิ์ในการซื้อขายนั้นประเมินค่าแทบมิได้
“ข้านั้นนำผงชาและสุราชีเฟิ่งมาจากห้องเก็บสินค้าของนิกายอสูรฟ้า
ทำให้มีอยู่ไม่น้อย ผงชานั้นหากตรวจตามบัญชีของข้าก็มีอยู่สิบล้านห่อ
ส่วนสุราชีเฟิ่งนั้นมีอยู่ราวหนึ่งล้านไห” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“มีมากถึงเพียงนั้นเชียวรึ”
ซงซือพูดด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ
จะมีสินค้าจำนวนมากถึงเพียงนี้ การกล่าวอ้างว่านำมาจากห้องเก็บสินค้าของนิกายอสูรฟ้านั้นฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
“หากท่านต้องการผงชาทั้งหมด
หนึ่งล้านห่อ ราคาก็อยู่ที่ สี่สิบล้านศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ
หรือสี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น”
เนี่ยลี่ดีดลูกคิดคำนวนราคาผงชาให้ซงซือดู
หากซงซือนำไปขายที่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
ก็จะได้กำไรเพียงหนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
แม้ว่าจะน้อยนิดแต่ก็ยังนับว่ามีกำไรซงซือจึงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“ข้าขอซื้อทั้งหมดที่เจ้ามีสิบล้านห่อ”
“ขอบคุณนายท่านยิ่งนัก
ท่านประมุขจะต้องรู้สึกขอบคุณท่านมากเป็นแน่” เนี่ยลี่พูดด้วยความยินดี แม้ว่าจะเป็นผงชาจำนวนถึงสิบล้านห่อ
แต่ก็สามารถนำใส่แหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงเดียวได้จนหมด
เนี่ยลี่จึงมอบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่บรรจุผงชาทั้งหมดไว้ให้เป็นของแถม
ซึ่งนั่นทำให้ซงซือยินดียิ่งนัก เพราะราคาของแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงนี้ ในอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์มีมูลค่าห้าพันถึงหนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณเลยทีเดียว
“สำหรับสุราชีเฟิ่งนั้นข้ามีอยู่จำนวนหนึ่งล้านไห
หากท่านซื้อทั้งหมดราคาก็อยู่ที่ ห้าแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เนี่ยลี่ดีดลูกคิดอีกครั้งและแจ้งราคาแก่ซงซือ
เมื่อได้ยินราคาที่เนี่ยลี่พูดมา
ซงซือก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย การเดินทางมาในครั้งนี้
ตระกูลซงที่ฐานะร่ำรวยมากที่สุดนำเงินมาเพียงสองแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ส่วนอีกสี่ตระกูลที่เหลือนำมาตระกูลละหนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
เขาหันไปมองตัวแทนจากสี่ตระกูลที่เหลือพวกเขาก็พยักหน้าตอบรับ และมอบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณอยู่ให้แก่ซงซือ
หากซื้อของไปจำนวนไม่มากพอ ก็จะไม่คุ้มค่ากับการเดินทาง
พวกเขาจำต้องซื้อของที่สามารถขายได้ไปให้มากที่สุด
“ข้าขอซื้อทั้งหมดที่เจ้ามี
นี่คือศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนห้าแสนสี่หมื่นก้อน จงรับไปและนำสุราชีเฟิ่งเก็บไว้ในแหวนพวกนี้วงละสองแสนไห”
ซงซือมอบแหวนห้วงมิติที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำอยู่วงละหนึ่งแสนก้อนจำนวนห้าวง
และนำศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนสี่หมื่นวงจากแหวนอีกวงของเขามอบให้แก่เนี่ยลี่
เนี่ยลี่รีบรับมาและส่งมอบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มีพื้นที่เก็บมากกว่าเดิมกลับคืนไปให้
และในแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของทั้งห้าวงนี้ ล้วนมีสุราชีเฟิ่งเก็บไว้ข้างใน ซงซือแจกจ่ายแหวนให้กับตัวแทนของสี่ตระกูลที่เหลือ
สำหรับผงชานั้นเมื่อกลับไปอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
จะทำการแบ่งขายให้กับอีกสี่ตระกูลที่เหลือภายหลัง
เนื่องจากเงินที่ใช้ซื้อผงชานั้นเป็นของตระกูลซงเท่านั้น
“ป้ายหยกนี้ข้าขอบมอบให้ท่าน
ครั้งหน้าที่ท่านเดินทางมา ข้าจะนำหนังสือสิทธิ์ในการซื้อขายจากท่านประมุขมาเตรียมไว้ให้กับท่าน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหนังสือสิทธิ์ในการซื้อขาย
ป้ายหยกนี้ก็เป็นดั่งคำมั่นระหว่างท่านกับนิกายอสูรฟ้าแล้ว ขอให้ท่านโปรดวางใจ”
เนี่ยลี่ส่งมอบป้ายหยกให้แก่ซงซือ
“หากผงชาและสุราชีเฟิ่งเหล่านี้ขายได้จนหมด
ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าข้าจะกลับมาอีกครั้ง ขอให้เจ้าเตรียมสินค้าไว้ด้วย”
ซงซือรับป้ายหยกมาและพูดออกไปด้วยความยินดี
“ข้าจะจัดเตรียมไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน”
เนี่ยลี่ประสานมือ ก้มศีรษะพร้อมกับตอบกลับไป
เมื่อได้รับสินค้าแล้ว
ซงซือและตัวแทนจากตระกูลอสูรต่างรีบเดินทางกลับไปในทันที
ยิ่งกลับไปได้รวดเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งขายของเหล่านี้ได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินทางออกไปจนลับตาแล้ว
เนี่ยลี่ค่อย ๆใช้พลังสัจธรรมแห่งพฤกษา ทำให้ต้นไม้กลับเป็นดังเดิม
พร้อมกับสลายพลังสัจธรรมแห่งมายาให้เขากลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิม
จากนั้นก็เข้าไปแจ้งกับเหล่าทหารยามให้มาดูแลกำแพงเช่นเดิม
จากนั้นเนี่ยลี่จึงรีบเดินทางไปพบหลี่ชิงอวิ๋นทันที
เมื่อเห็นเนี่ยลี่
หลี่ชิงอวิ๋นจึงถามออกไปด้วยความกังวลทันที
“ตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์นั้นเป็นเช่นใดบ้าง?”
“พวกเขาเดินทางกลับไปแล้ว
และข้าก็ทำการค้ากับพวกเขาได้กำไรมามากมาย”
เนี่ยลี่มอบแหวนห้วงมิติที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนหนึ่งแสนก้อนให้แก่หลี่ชิงอวิ๋น
เป็นค่าผงชาและสุราชีเฟิ่ง
“นี่มันมากเกินไป
ข้าไม่อาจรับเอาไว้ได้”
หลี่ชิงอวิ๋นมองดูศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำในแหวนด้วยความตกใจ
ของทั้งหมดที่เขาหาให้เนี่ยลี่นั้นมีค่ามากกว่า
หนึ่งพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำก้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น [ผงชาสิบล้านห่อราคาเพียงแค่สิบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ส่วนสุราชีเฟิ่งหนึ่งล้านไหนั้นราคาหนึ่งพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ]
“พี่ชิงอวิ๋นอย่าได้เกรงใจ
หากท่านคิดว่ามากเกินไป ข้าก็ขอรบกวนให้ท่านจัดหาผงชาชั้นดีที่สุดให้ข้า
พร้อมกับสุราอู่เหลียงเยี่ย [五粮液:ของเหลวจากธัญพืชห้าชนิด เป็นสุราที่กลั่นขึ้นมาจากข้าวฟ่างแดง
ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี และข้าวโพด มีเอกลักษณ์สี่ประการ คือ กลิ่นหอมแรง ใสไร้สี มีรสหวานปนเปรี้ยว และมีกลิ่นหอมติดปากนาน เป็นสุราชั้นเลิศยิ่งกว่าสุราชีเฟิ่งเสียอีก]ให้แก่ข้าด้วย ข้าจะนำไปส่งให้จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อ
เพื่อขายหลังจากที่ตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์กลับไปถึง”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก หากนำผงชาชั้นดีและ
สุราอู่เหลียงเยี่ยไปขายแล้ว ผงชาที่พวกเขาได้ไปคงจะขายไม่ได้เป็นแน่
แม้ว่าจะเป็นผงชาชั้นดี และสุราชั้นเลิศอย่างอู่เหลียงเยี่ย
ราคาของทั้งสองสิ่งนี้แพงกว่า ผงชาคุณภาพกลางและสุราชีเฟิ่งเพียงแค่ห้าเท่า
เท่านั้น [ผงชาชั้นดีที่สุดราคาห่อละห้าศิลาจิตวิญญาณ
ส่วนสุราอู่เหลียงเยี่ยราคาไหละห้าศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ หากนำไปขายที่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ในราคาที่เท่ากับผงชาคุณภาพปานกลางและสุราชีเฟิ่ง
ก็ย่อมขายได้อย่างแน่นอน]
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่หลี่ชิงอวิ๋นก็เข้าใจได้ในทันที
แต่ด้วยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนมากถึงเพียงนี้
เขาจะต้องหาซื้อของที่เนี่ยลี่ต้องการมาให้มากที่สุด
“ตกลง ข้าขอเวลาสองวัน
ข้าจะให้คนไปกว้านซื้อผงชาชั้นดีและสุราอู่เหลียงเยี่ย ในเมืองและอาณาจักรใกล้เคียงมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
หลี่ชิงอวิ๋นให้คำมั่นอย่างจริงจัง
ทางด้านเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
พวกนางสามารถทำการค้าได้อย่างราบรื่น
สินค้าที่เนี่ยลี่นำมาส่งให้ก่อนหน้านี้ก็สามารถขายได้เป็นจำนวนมาก
แต่ภายในเมืองพวกอสูรจากห้าตระกูลใหญ่เริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง
ซึ่งก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกนางได้
อันดับของความร่ำรวยในเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
ในสองอันดับแรกนั้นยังคงเดิม แต่อันดับสามถึงสิบตกเป็นของเถ้าแก่โหย่วและสหาย
ในตอนนี้เถ้าแก่โหย่วนั้นมีทรัพย์สินอยู่ราว ๆ สามแสนห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเถ้าแก่โหย่วนั้นเป็นเงินสด
ต่างจากสามอันดับแรกที่ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะเป็นมูลค่าของกิจการต่าง ๆ
ส่วนสหายของเถ้าแก่โหย่วนั้นล้วนมีทรัพยสินคนละไม่น้อยกว่าสามแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ทำให้ตระกูลฟู่ ของฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นตกไปอยู่อันดับที่สิบสามทันที [แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยจากส่วนกลางถึงอันดับของผู้ที่อยู่ต่ำกว่าอันดับที่สิบ
แต่พวกเขาก็รู้ได้เนื่องจากมีการเปิดเผยอันดับของแต่ละคน]
ฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นลอบเดินทางออกไปนอกเมืองและขึ้นไปบนเทือกเขา
ซึ่งแม้แต่ยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรยังไม่อาจเดินทางไปได้อย่างปลอดภัย
เขาสวมใส่เสื้อเกราะสีเงินที่สามารถต้านทานพายุหิมะได้
พร้อมกับมีผ้าคลุมสีเงินที่สามารถสะท้อนสายฟ้าออกไป
นี่คือเกราะสลายวายุเหมันต์และผ้าคลุมอัสนีคืนกลับ เป็นของวิเศษระดับพระเจ้า เขาเดินเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวรปลายของเทือกเขา
“ท่านบริวารแห่งเทพ
บัดนี้อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์มีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น
ข้าขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงคุกเข่าและพูดออกไปผ่านกระจกข้ามภพ
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เจ้ามารายงานแก่ข้าว่า เผ่าอสูรได้ครอบครองกิจการร้านค้าต่าง
ๆ ภายในเมืองไปกว่าเก้าส่วนแล้ว มีเรื่องอันใดที่ทำให้แผนการณ์ของข้าผิดพลาดไปได้”
เสียงของบริวารแห่งเทพถามด้วยความสงสัย
“ท่านบริวารแห่งเทพ
เมื่อราวครึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกมนุษย์เริ่มมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น
และนำชาและสุราเลิศรสมาขาย บัดนี้ในสิบอันดับแรก มีเพียงตระกูลซง
และตระกูลจั่วที่อยู่อันดับที่หนึ่งและสองเท่านั้น
ที่ยังคงอยู่ในอันดับอีกแปดอันดับทีเหลือล้วนตกเป็นของมนุษยื
แม้แต่ตระกูลฟู่ของข้านั้น บัดนี้ก็ร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่สิบสามแล้ว” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ถ้าหากไม่อาจเอาชนะด้วยการค้า
ก็จงใช้กำลังจัดการพวกมันซะ ด้วยกำลังของตระกูลอสูรทั้งหก [นับรวมตระกูลฟู่] ก็มากพอที่จะสังหารพวกมนุษยืได้จนหมดสิ้นแล้ว”
บริวารแห่งเทพพูดด้วยความไม่พอใจ
เดิมทีเขาวางแผนเพื่อที่จะให้พวกมนุษย์ตกเป็นแรงงานของพวกอสูรด้วยความเต็มใจ หากใช้กำลังในการปกครองจะต้องมีส่วนหนึ่งที่ยอมต่อสู้จนตัวตายเป็นแน่
“ท่านเองก็ทราบดีว่าข้านั้นไร้ซึ่งวรยุทธ
หากเกิดสงครามขึ้น หากมีผู้ที่ล่วงรู้ว่าข้านั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับอสูร
ข้าคงจะถูกสังหารเป็นคนแรก” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงตอบกลับไปด้วยความกังวล
“การที่เจ้านั้นไร้ซึ่งวรยุทธ
เพราะข้าได้ให้พ่อบุญธรรมของเจ้า สกัดจุดชีพจรเอาไว้ มิให้ลมปราณไหลเวียนได้
ข้าจะทำการคลายจุดชีพจรให้แก่เจ้า” บริวารแห่งเทพปล่อยลมปราณผ่านกระจกข้ามภพมา
จุดชีพจรของฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นค่อย ๆ คลายออก ระดับพลังของเขานั้นค่อย ๆ
สูงขึ้นเรื่อย ๆ เขานั้นสวมใส่เกราะสลายวายุเหมันต์และผ้าคลุมอัสนีคืนกลับ
ที่เป็นของวิเศษระดับพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา
จึงทำให้เขานั้นดูดซับพลังจากของวิเศษทั้งสองอยู่ตลอดเวลา
ทันทีที่จุดชีพจรถูกคลายออก ระดับพลังของเขาก็ราวกับระเบิดออกมา
จากชายที่ไร้วรยุทธเพียงแค่พริบตาก็บรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าได้
บริวารแห่งเทพไม่เพียงแต่คลายจุดชีพจรให้
เขายังได้ถ่ายทอดลมปราณส่วนหนึ่งให้แก่ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ทำให้เขาบรรลุระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
พลังลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าของบริวารแห่งเทพ
ไม่อาจรอดพ้นสัมผัสของเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อได้
แม้ว่าจะไม่รู้ตำแหน่งที่ชัดเจน
แต่พวกนางก็รับรู้แล้วว่าจะต้องเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเทือกเขาด้านนอกเป็นแน่...................จบตอน