หลังจากที่กลับมายังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
เอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อและเถ้าแก่โหย่วก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมและเริ่มเตรียมการที่จะทำการค้า
โดยเริ่มจากโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วแห่งนี้ ซึ่งจะนำชาเลิศรสจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มาขายให้แก่ลูกค้าในโรงเตี๊ยม
แม้ว่าจะเป็นชาเกรดต่ำสุดที่นำมา ก็ยังหอมหวลยิ่งกว่าชาที่ดีที่สุดของเมืองนี้
เอียจื่ออวิ๋นให้เถ้าแก่โหย่วตั้งราคาของผงชา
เท่ากับผงชาชั้นเลิศที่ขายอยู่ในเมือง แต่ด้วยคุณภาพที่เหนือกว่าหลายเท่า
จึงมีผู้คนมาขอซื้อ แน่นอนว่าแม้แต่เจ้าของโรงน้ำชาของเผ่าอสูร
ยังต้องมาขอซื้อผงชาจากโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วเช่นกัน
แต่เนื่องจากเดิมทีโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วนั้นรับลูกค้าที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
เอียจื่ออวิ๋นจึงขอให้เถ้าแก่โหย่ว
จัดพื้นที่หน้าร้านเพื่อทำการค้ากับเผ่าอสูรซึ่งก็ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
ผงชาที่ซื้อมาในราคาห่อละ หนึ่งศิลาจิตวิญญาณ สามารถขายออกไปได้ในราคาถึง ห้าศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ
ซึ่งจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อได้นำมาขายสิบล้านห่อ [ต้นทุนสิบล้านศิลาจิตวิญญาณ
ขายได้ห้าสิบล้านศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ หากขายหมดจะได้กำไรสี่สิบเก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหรือสี่หมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ]
แม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ดูว่ามากมายนัก
แต่ด้วยจำนวนประชากรของเมืองแห่งนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก
เมื่อนับรวมประชากรทั้งหมดในเมืองนี้ก็มีนับล้านคน และเมื่อผงชาของโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วมีชื่อเสียง
โรงเตี๊ยมอื่น ๆ
ทั้งของมนุษยืและอสูรจึงต้องมาขอซื้อเพราะลูกค้าไม่ต้องการดื่มชาชนิดอื่น
หลังจากนั้นจื่ออวิ๋นจึงเริ่มให้ร้านค้าอื่น
ๆ ที่ประมูลมาเริ่มเปิดร้านค้าขาย ซึ่งร้านเหล้าที่ประมูลมาได้
มีความพร้อมมากที่สุด
โดยจะแบ่งพื้นที่ในร้านเป็นสองส่วน เพื่อต้อนรับทั้งมนุษย์และอสูร
และสุราชนิดแรกที่นำมาขายที่ร้านคือ สุราชีเฟิ่ง [西凤:วิหคเพลิงแห่งตะวันตก:เป็นสุราโบราณอันเลื่องชื่อของจีนที่ว่ากันว่ากลิ่นอันหอมหวลของสุรานี้จะล่องลอยออกไปได้ไกลนับสิบลี้]
ยามที่มีลูกค้าสั่งมาดื่ม
กลิ่นหอมจะกระจายไปทั่วทั้งเมืองเลยทีเดียว
ราคาของสุราชีเฟิ่งที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหละหนึ่งศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ
แต่สามารถนำออกมาขายได้ในราคาถึงหนึ่งศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ซึ่งจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อได้นำมาถึงหนึ่งแสนไห
หนิงเอ๋อได้นำแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของทีได้รับมาจากเนี่ยลี่ออกมาให้จื่ออวิ๋นดู
และพบว่าด้านในแหวนนั้นมีสูตรยาและขั้นตอนการปรุงยาที่ใช้ต้านความหนาวเย็นที่ชื่อว่า
ยาผนึกไอเย็น พร้อมทั้งสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบ
และอุปกรณ์ที่ใช้ปรุงยาอีกด้วย
เนื่องจากต้องใช้ความร้อนในการหลอมปรุงยาเนี่ยลี่จึงมอบมันให้กับหนิงเอ๋อ
จื่ออวิ๋นจึงมอบหมายให้หนิงเอ๋อผลิตยาดังกล่าวซึ่งเนี่ยลี่ได้เขียนบอกเอาไว้ว่า
ให้นำออกขายในเวลาที่เหมาะสม
เพียงแค่ไม่กี่วัน
การค้าของร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมเหรินโหย่ว
ก็สามารถทำกำไรให้กับจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อนับแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ทำให้อันดับของเถ้าแก่โหย่ว และเถ้าแก่จิ่วที่เป็นเจ้าของร้านเหล้า
มีอันดับที่สูงขึ้นแต่ก็ยังไม่อาจขึ้นไปอยู่เหนือตระกูลของพวกอสูรได้
ในตอนนี้เถ้าแก่จิ่วนั้นมีทรัพย์สินมากที่สุดในกลุ่มสหายของเถ้าแก่โหย่ว
เขาอยู่ในดันดับที่เจ็ดโดยมีอยู่ทั้งหมด
หนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ตามหลังอันดับที่สี่ ห้า และหก อยู่ราว
ๆ ห้าถึงหกหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น [อันดับสี่
ห้า และหก มีทรัพย์สินอยู่ประมาณ สองแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำใกล้เคียงกัน]
ส่วนเถ้าแก่โหย่วนั้นอยู่ในอันดับที่แปด มีทรัพย์สินอยู่หกหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
วันต่อมาจื่ออวิ๋นลอบส่งข่าวไปให้แก่เถ้าแก่ปู้
เจ้าของกิจการขายผ้า เพื่อให้นำผ้าไหมที่นางได้จัดเตรียมมาไปวางขาย
ผ้าไหมที่นางได้จัดเตรียมมานั้นถักทอมาจากใยไหมสวรรค์
ที่เพาะเลี้ยงได้จากดินแดนที่อบอุ่นเท่านั้น
ซึ่งมีคุณสมบัติในการปกป้องอากาศหนาวเย็นได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงผ้าไหมผืนบาง ๆ
ซึ่งแน่นอนว่าผ้าไหมชนิดนี้จะมีราคาสูงยิ่งนัก
โดยที่ผ้าหนึ่งพับนั้นจะมีราคาสูงถึงหนึ่งร้อยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ แต่ราคาที่พวกนางซื้อมานั้นอยู่ที่พับละหนึ่งศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น
เพียงแค่สามวัน
ในอาณาจักรแห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ทั้งชาชั้นดี สุราเลิศรส
ผ้าไหมอันล้ำค่า แม้ว่าของเหล่านี้จะมีราคาสูง
แต่ก็มีมนุษย์และอสูรจำนวนมากที่สามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อหาได้
แต่ก็ทำให้พวกเผ่าอสูรที่ทำการค้าประเภทเดียวกันเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
พวกตระกูลอสูรทั้งห้าและฟู่เพี่ยวเลี่ยง ตัวแทนตระกูลฟู่จึงได้มารวมตัวกัน
“เจ้ามนุษย์พวกนั้นไปหาชา
สุรา และผ้าไหมเหล่านั้นมาจากที่ใดกัน?”
ตัวแทนจากตระกูลซง
ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองแห่งนี้พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เนื่องจากกิจการร้านน้ำชา
ร้านเหล้า และร้านขายผ้าของเขาได้รับผลกระทบจากร้านทั้งสามเป็นอย่างมาก
เขามีร่างกายไม่ต่างจากมนุษย์แต่ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยขนราวกับใบหน้าของพญาราชสีห์
“พวกข้าเองก็เดือดร้อนเช่นกัน
หากไม่ไปซื้อผงชาและสุรามาจากร้านของมนุษย์เหล่านั้น ลูกค้าก็จะไม่ยอมเข้าร้าน
เมื่อไปขอซื้อจากพวกมัน พวกมันก็ขายให้ในราคาไม่ต่างจากที่ขายในร้าน
แล้วพวกเราจะหากำไรได้จากที่ใดกัน” ตัวแทนจากตระกูลจั่ว ทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ
หลังจากที่พูดออกมา เขานั้นมีใบหน้าเหมือนหมีสีน้ำตาล
กรงเล็บที่มือของเขาดูแหลมคมและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ข้าลองไปสอบถามที่ร้านเหล้าและร้านขายผ้า
แต่พวกเขาก็บอกเพียงว่า
มีพ่อค้าพเนจรนำมาขายให้แก่พวกเขาที่นอกเมืองก่อนที่จะเดินทางจากไป” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ร้านค้าต่าง ๆ จะดูไม่เป็นมิตรกับเขาเลย
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องส่งคนไปหาซื้อผงชา
สุราและผ้าไหมที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาจากอาณาจักรอื่น ๆ มาขาย
ข้าเคยเห็นของที่ไม่แตกต่างกันนักอยู่ที่อาณาจักรกำแพงสวรรค์”
ตัวแทนจากตระกูลซงพูดขึ้นมา หากไม่มีสินค้าที่ดีกว่าก็ไม่อาจที่จะทำการค้าแข่งขันได้
“แต่การเดินทางไปอาณาจักรกำแพงสวรรค์และกลับมานั้น
ต้องใช้เวลานับสัปดาห์ และคงจะนำสินค้ากลับมาได้ไม่มากนัก” ตัวแทนจากตระกูลจั่วพูดขึ้นมา
แหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของนั้น นับเป็นของวิเศษที่ล้ำค่ายิ่งนักของอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
หนึ่งวงนั้นสามารถขายได้ถึงหนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ขึ้นอยู่กับว่ามีพื้นที่ในการจัดเก็บมากแค่ไหน
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามสืบหาอีกครั้งว่า
พวกมันได้สุราและผ้าไหมพวกนั้นมาจากที่ใดกันแน่
เมื่อพวกท่านกลับมาข้าจะมาแจ้งข่าวอีกครั้ง” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หากเขาไม่อาจทำประโยชน์ให้แก่ตระกูลฟู่ได้ เขาก็เป็นเพียงแค่คนไร้ค่า
ที่รอวันที่จะถูกสังหารเท่านั้น
วันต่อมา
เมื่อมีคนแจ้งข่าวมาว่า ตระกูลอสูรทั้งห้าได้ออกเดินทางไปนอกเมือง
เพื่อไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์ จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อก็แอบยิ้มด้วยความยินดี
พวกนางจึงตัดสินใจเปิดร้านค้าที่เหลือทั้งหมดพร้อมกัน
โดยกระจายสินค้าไปยังร้านค้าที่ทำการค้าประเภทเดียวกัน
ทำให้ในเบื้องหลังนั้นจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อ เป็นผู้ครอบครองการค้าทั้งหมดในเวลานี้
เมื่อผ่านไปอีกสามวัน ก็ครบเจ็ดวันตามที่ได้นัดหมายกับเนี่ยลี่
สินค้าที่ได้เตรียมมานั้นถูกขายไปจนใกล้ที่จะหมดแล้ว พวกนางจึงให้ขอเนี่ยลี่พาไปที่นิกายกำแพงสวรรค์
เพื่อหาทางรับมือตระกูลอสูรที่กำลังเดินทางมา
หลังจากที่เนี่ยลี่ได้ฟัง
เขานำแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของจำนวนมากออกมา เนี่ยลี่นั้นได้หาซื้อของที่พวกนางซื้อมาเมื่อครั้งก่อนมาเป็นจำนวนมาก
และมอบให้แก่พวกนาง และบอกให้พวกนางจัดการเรื่องภายในเมืองนี้
เขาจะเดินทางไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์และจัดการเรื่องนี้ให้เอง
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อจึงยอมกลับเข้าเมืองไป
ส่วนเนี่ยลี่นั้นแอบยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเปิดเส้นทางสวรรค์เพื่อเดินทางไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์
เนี่ยลี่ได้ไปพบกับหลี่ชิงอวิ๋นและหลงยู่อินเพื่อที่จะวางแผนเพื่อรับมือตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
“เจ้าจะให้ข้าจัดเตรียมกองกำลังเพื่อสังหารพวกเขาหรือไม่?” หลี่ชิงอวิ๋นถามออกไปเมื่อได้ยินว่า
ตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์กำลังเดินทางมาที่อาณาจักรแห่งนี้
“พี่ชิงอวิ๋น
ไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น พวกเขามาเพื่อทำการค้า
พวกเราก็แค่หาสินค้าให้แก่พวกเขาเท่านั้น”
เนี่ยลี่โบกมือปฏิเสธพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะให้ข้าจัดเตรียมสิ่งใดบ้าง
ก็จงบอกมาได้” หลี่ชิงอวิ๋นรู้ว่าเนี่ยลี่ต้องวางแผนอะไรบางอย่างไว้
ไม่ว่าจะเป็นแผนอันใดเขาก็ยินดีที่จะให้การช่วยเหลือ
“ข้าต้องการให้ท่านจัดเตรียมสุราชีเฟิ่ง
จำนวนหนึ่งล้านไห และผงชาจำนวนสิบล้านถุง ข้าจะขายให้แก่พวกเขา” เนี่ยลี่พูดออกไปพร้อมกับหัวเราะ
สิ่งที่เขาต้องทำคือลดจำนวนเงินของพวกตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
“เรื่องนั้นหาใช่ปัญหาไม่
แต่ว่าเจ้าจะให้พวกเขาเข้ามาในเขตกำแพงเมืองเช่นนั้นหรือ?” หลี่ชิงอวิ๋นถามด้วยความสงสัย
หากปล่อยให้พวกเขาเข้ามาได้ ความลับเรื่องที่อสูรฟ้าในนิกายแห่งนี้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้วก็จะไม่อาจปกปิดได้อีก
“พวกเราจะทำการค้าที่ด้านนอกกำแพงเมือง
ข้าจะสร้างโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ด้านนอกกำแพงด้วยพลังสัจธรรมแห่งพฤกษา
เพื่อใช้ต้อนรับพวกเขา หากท่านจัดเตรียมสุราและผงชาได้ ก็ให้คนนำไปส่งให้ข้าที่นอกประตูเมืองทางทิศเหนือ
หากทำได้ข้าต้องการสินค้าทั้งหมดในวันนี้” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น
เขามีเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน พวกตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์นั้นคงจะมาถึงในวันพรุ่งนี้เช้า
“ตกลง
ข้าจะให้คนไปจัดหาและส่งมอบให้เจ้าแน่นอน”
หลี่ชิงอวิ๋นให้คำมั่นก่อนที่จะสั่งการให้คนไปจัดหาสิ่งที่เนี่ยลี่ร้องขอ
เนี่ยลี่ทะยานออกไปนอกเมืองทางประตูทิศเหนือ
และใช้พลังสัจธรรมแห่งพฤกษา สร้างโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ขึ้นมาจากต้นไม้นับสิบต้น
จากนั้นเนี่ยลี่ก็นำไม้มาแกะสลักป้ายชื่อโรงเตี๊ยมว่า โรงเตี๊ยมอสูรฟ้า
เพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นโรงเตี๊ยมในสังกัดของนิกายอสูรฟ้า และแค่เพียงหนึ่งชั่วยามหลี่ชิงอวิ๋นก็ได้ให้คนนำ
ผงชาและสุรามาส่งให้แก่เนี่ยลี่ ซึ่งเนี่ยลี่ก็ได้แจ้งกลับไปว่า
อย่าให้ผู้ใดปรากฏตัวที่ประตูกำแพงฝั่งทิศเหนือ ที่เคยเป็นประตูเมืองของพวกนิกายอสูรฟ้า
หากไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะสงสัยขึ้นมาได้
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่ได้ใช้พลังสัจธรรมแห่งมายา เปลี่ยนตนเองให้เป็นอสูร
และสร้างภาพมายาเป็นทหารอสูรยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง
เพื่อรอต้อนรับตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามตระกูลอสูรทั้งห้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
ก็ได้เดินทางมาถึง เนี่ยลี่มายืนรอที่หน้าโรงเตี๊ยมและตะโกนออกไปทันที
“สวัสดี
พวกท่านคงเป็นพ่อค้าจากอาณาจักรอื่น ตอนนี้อาณาจักรกำแพงสวรรค์
กำลังมีสงครามภายในอยู่ จึงไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด
หากท่านไม่เชื่อก็จงสอบถามแก่เหล่าทหารได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่
พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
เมื่อราวหนึ่งปีก่อนที่พวกเขาเดินทางมาไม่เคยมีโรงเตี๊ยมอยู่ตรงนี้มาก่อน
และไม่มีครั้งใดที่ประตูของกำแพงเมืองจะปิดกั้นไม่ให้ผู้ใดเข้าไปเช่นนี้
“พวกข้าต้องการซื้อสินค้า
เพื่อนำไปขายที่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ มีหนทางใดบ้างที่จะเข้าไปด้านในได้”
ตัวแทนจากตระกูลซง มีนามว่าซงซือ [ราชสีห์ที่ดุร้าย]
เอ่ยถามกับทหารยาม
“คำสั่งของประมุขห้ามมิให้คนนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด!” เนี่ยลี่ใช้พลังสัจธรรมแห่งมายา สร้างภาพมายาให้ดูราวกับว่าทหารยามตอบกลับมา
“ข้าบอกพวกท่านแล้ว
หากต้องการผงชาและสุรา ข้าก็พอที่จะแบ่งขายให้แก่พวกท่านได้นะ”
เนี่ยลี่ตะโกนออกไปอีกครั้ง
“ข้าคือซงซือ
เป็นพ่อค้าจากอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ที่ข้าต้องการคือผงชา และสุราชนิดนี้” ซงซือนำผงชาและสุราชีเฟิ่ง
ที่ซื้อมาจากเถ้าแก่โหย่ว และเถ้าแก่จิ่ว ออกมาให้เนี่ยลี่ดู
“ผงชาชั้นยอด กับสุราชีเฟิ่ง
ข้านั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก
หากท่านต้องการข้าก็ยินดีที่จะขายให้ในราคาที่ไม่แพงนัก” เนี่ยลี่ตอบกลับไป เขารู้ดีว่าผงชานี้เป็นเพียงผงชาคุณภาพปานกลางเท่านั้น
ไม่ใช่ชาชั้นดีแต่อย่างใด ปกติแล้วพวกเขาเคยซื้อผงชาและสุราเกรดต่ำสุดเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนัก
โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แต่กลับมีผงชาและสุราจำนวนมากถึงเพียงนี้
“เจ้าจะขายให้ข้าในราคาเท่าใดกัน”
ซงซือพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อค้ามานาน แต่เขาก็ไม่ทราบราคาที่แท้จริงของผงสาและสุราที่ว่ามานี้
“สำหรับผงชา
ข้าขายให้ท่านถุงละสี่ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ
ส่วนสุราชีเฟิ่งข้าขายในราคาหนึ่งศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ต่อจำนวนสุราชีเฟิ่งสองไห” เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“นี่มันแพงเกินไปแล้ว! เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรืออย่างไร”
ซงซือตะโกนกลับมาด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะนำไปขายต่อและได้กำไรอยู่บ้าง
แต่มันก็น้อยเกินไปสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
เขาไม่เชื่อว่าราคาของผงชาและสุรานี้จะสูงถึงเพียงนั้น ................จบตอน