หลังจากที่ได้ข้อมูลจากเถ้าแก่โหย่ว
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็ช่วยกันวิเคราะห์ว่า มีผู้ใดที่น่าสงสัยบ้าง
“ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด
ก็ดูน่าสงสัยไปเสียหมด” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ถ้าเช่นนั้นคงจะต้องปรับเปลี่ยนแผนบางอย่างแล้ว”
เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป
“เจ้าคิดจะทำเช่นใด?” เซี่ยวหนิงเอ๋อถามออกไปด้วยความสงสัย
“เถ้าแก่โหย่ว
หากต้องการซื้อกิจการของเผ่าอสูรจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่?” เอียจื่ออวิ๋นหันไปถามเถ้าแก่โหย่ว
“ในตลาดประมูล เผ่าอสูรมักจะนำกิจการของตนมาประมูลขาย
เพื่อโก่งราคา แต่ก็มักจะถูกซื้อไปโดยเผ่าอสูรด้วยกัน เนื่องจาก
ราคาที่สูงเกินกว่าตระกูลของมนุษย์จะซื้อได้ แต่ก็มีบางครั้งที่ตระกูลฟู่นำกิจการของตนออกประมูลขายเช่นกัน”
เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป
“เถ้าแก่โหย่ว
ท่านไม่คิดว่าแปลกหรอกหรือ? การขายประมูลเช่นนี้
ไม่ต่างจากการโยกย้ายทรพัย์สินไปมาระหว่างเผ่าอสูรมิใช่หรือ
แค่เปลี่ยนมือในการครอบครองเท่านั้น” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมา
จากการบอกเล่าของเถ้าแก่โหย่ว
“พวกเราก็เคยคิดเช่นนั้น
แต่เนื่องจากตระกูลฟู่ก็ยังมีการซื้อขาย ในตลาดประมูล พวกเราจึงไม่กังวลเท่าใดนัก”
เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป
“ท่านไม่คิดหรือว่า
หากตระกูลฟู่ และตระกูลอสูรทั้งห้าร่วมมือกัน จะเกิดอะไรขึ้น”
เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าอาณาจักรแห่งนี้ถูกอสูรครอบครองกิจการมากกว่าแปดส่วน
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มนุษย์ในอาณาจักรแห่งนี้จะเป็นเพียงผู้ขายแรงงานเท่านั้น”
เถ้าแก่โหย่วพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ไม่เพียงเท่านั้น
เนื่องจากตระกูลฟู่นั้นเป็นตระกูลมนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุด ยามที่ขัดสน
พวกเราจึงไปขอกู้เงินจากตระกูลฟู่ และยามที่ต้องการขายกิจการออกไป ก็มักจะขายให้ตระกูลฟู่เช่นกัน
แม้ว่าจะได้ราคาไม่มากนัก แต่ก็คงดีกว่า
หากกิจการของพวกเขายังอยู่ในมือของมนุษย์ด้วยกัน พวกเราต่างก็คิดเช่นนี้”
เถ้าแก่โหย่วอธิบายต่อ
“เถ้าแก่โหย่ว
ท่านสามารถติดต่อกับเจ้าของกิจการที่เป็นมนุษย์คนอื่น ๆ ได้หรือไม่
ข้าต้องการให้ท่านไปเชิญพวกเขามาพบ
โดยที่ต้องพยายามปกปิดไม่ให้ตระกูลฟู่ทราบเรื่องนี้”
เอียจื่ออวิ๋นคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบขอให้เถ้าแก่โหย่วช่วยเหลือ
“ข้าพอจะมีสหายที่เชื่อใจได้อยู่ราวสิบคน
พวกเขาล้วนเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ ที่มีทรัพย์สินอยู่ราว ๆ สองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ท่านต้องการให้ข้าเรียกพวกเขามาทำด้วยเหตุใดกัน?”
เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป แต่ก็มีสีหน้าที่สงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“จื่ออวิ๋นต้องการให้พวกท่านจับกลุ่มกัน
เพื่อที่จะกว้านซื้อกิจการของตระกูลฟู่และของเผ่าอสูร” หนิงเอ๋อพูดแทรกขึ้นมา
แผนของจื่ออวิ๋นนี้ง่ายดายและไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด
หนิงเอ๋อจึงสามารถเข้าใจได้ทันที
“เดิมทีข้าคิดที่จะให้หนิงเอ๋อ
เป็นผู้ครอบครองกิจการทั้งหมด แต่หากทำเช่นนั้น พวกเราจะเป็นจุดเด่นมากเกินไป
หากทำให้ตระกูลที่มีกิจการในอาณาจักรแห่งนี้ค่อย ๆ ร่ำรวยขึ้น
จะดูน่าสงสัยน้อยกว่า ฝ่ายศัตรูจะได้ไม่สงสัยพวกเราอีกด้วย” จื่ออวิ๋นอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว
คืนนี้ข้าจะเชิญเหล่าสหายของข้ามาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และมารับฟังแผนจากพวกท่าน
สหายของข้าเป็นคนที่ท่านสามารถไว้ใจได้อย่างแน่นอน” เถ้าแก่โหย่วพูดด้วยความมั่นใจ
ในคืนนั้น
เถ้าแก่โหย่วได้เรียกสหายของเขามา รวมกับตัวเถ้าแก่โหย่วแล้วก็มีทั้งหมดสิบคน ซึ่งล้วนแต่เป็นพ่อค้า
เจ้าของกิจการที่อายุมากแล้วและคบหากับเถ้าแก่โหย่วมาหลายสิบปี
เมื่อเถ้าแก่โหย่วได้บอกสิ่งที่เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อรู้สึกสงสัย
พวกเขาก็ต้องตกใจกันเป็นอย่างมาก
“ที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นข้อสงสัย
แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือไม่” เถ้าแก่ปู้ เจ้าของกิจการขายผ้า แย้งขึ้นมา
“แน่นอนว่า
พวกข้ายังไม่มีหลักฐาน หากพวกท่านให้ความร่วมมือความจริงก็จะปรากฏขึ้นมาเอง
และหากพวกข้าคิดผิด ข้าก็ยินดีที่จะมอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้แก่พวกท่านจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน”
เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แล้วเจ้าจะให้พวกข้าทำเช่นใด”
เถ้าแก่ฉาเจ้าของร้านน้ำชาถามกลับไป
“ข้าจะมอบเงินให้แก่พวกท่านเป็นจำนวนหนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
เมื่อพวกท่านได้รับเงินไปแล้ว ขอให้พวกท่านไปดูในตลาดประมูล
ให้ประมูลซื้อกิจการของพวกอสูรมา เพื่อให้อันดับของพวกท่านนั้นสูงขึ้น”
เอียจื่ออวิ๋นอธิบายแผนของนางอย่างช้า ๆ พร้อมกับนำแหวนห้วงมิติที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งแสนก้อนออกมาวางบนโต๊ะ
“หากทำเช่นนั้นพวกข้าจะขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เจ็ด
ก็ยังต่ำกว่าอันดับของพวกอสูรมิใช่หรือ?”
เถ้าแก่จิ่วที่เป็นเจ้าของร้านเหล้า แย้งกลับไป ขณะที่คนอื่น ๆ ยังคงฟังอยู่เงียบ
ๆ
“หากพวกท่านสามารถทำแผนขั้นแรกได้สำเร็จ
ข้าก็จะมอบเงินให้แก่พวกท่านอีก เพื่อที่จะนำไปประมูลซื้อในครั้งต่อไป
เมื่อพวกท่านสามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หกได้ พวกอสูรจะต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นแน่
และเมื่อนั้นพวกเราก็จะรู้ความจริง” เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป
“ตลาดประมูลจะมีในอีกสามวันข้างหน้า
ขอให้พวกเจ้าเลือกประมูลกิจการที่ใกล้เคียงกับกิจการเดิมของพวกเจ้า
และอย่าได้แย่งประมูลกันเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ราคาสูงขึ้นโดยไร้ประโยชน์”
เถ้าแก่โหย่วพูดแทรกขึ้นมา
“การที่ข้ามอบเงินให้แก่พวกท่านโดยที่ไม่ต้องทำสัญญาเงินกู้
เพราะข้าเชื่อว่าสหายของเถ้าแก่โหย่ว นั้นคงจะเชื่อใจได้
ขอให้ทุกท่านทำตามแผนและอย่าได้เปิดเผยให้แก่ผู้อื่นได้ทราบในเรื่องนี้”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“สหายเอ๋ย
แม่นางทั้งสองเป็นยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม
ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงไม่คิดที่จะลองดีกับพวกนางหรอกนะ” เถ้าแก่โหย่วหันไปเตือนสหายของเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ บางคนก็แอบคิดที่จะยักยอกเงินเอาไว้ เนื่องจากไม่ได้มีสัญญาเงินกู้
แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดโดยทันที
ยอดฝีมือระดับเทพสงครามในอาณาจักรแห่งนี้มีไม่มากนัก และเกือบทั้งหมดเป็นพวกอสูร
“หลังจากจบงานประมูลในอีกสามวันข้างข้า
ขอให้มาพบกับกันอีกครั้ง พวกท่านสามารถประมูลซื้อโดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องราคา หากราคาไม่แพงไปกว่าที่ข้าให้ไป
ก็จงประมูลมาให้ได้” เอียจื่ออวิ๋นกำชับก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไป
สามวันต่อมาในลานประมูล
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า
ติดตามเถ้าแก่โหย่วเข้าไปในลานประมูล
ในลานประมูลแห่งนี้
ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องวางเงินมัดจำเอาไว้เท่ากับจำนวนเงินสูงสุดที่จะประมูลได้
เช่นวางมัดจำไว้หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ก็จะประมูลได้เพียงแค่หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ และหากประมุลไปหนึ่งครั้ง
ก็จะต้องหักเงินค่ามัดจำออกไปทันที เช่นหากประมูลกิจการแห่งหนึ่งได้ไปในราคาห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ก็จะสามารถประมูลต่อไปได้อีกไม่เกินห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น
เมื่อมองไปโดยรอบก็พบเหล่าสหายของเถ้าแก่โหย่วกันพร้อมหน้า
พวกเขาได้ถูกเชิญไปรวมตัวกันที่ห้องรับรองของมนุษย์ ที่แยกไว้เป็นพิเศษ
แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพียงแค่กล่าวทักทายกันตามปกติ
เนื่องจากในห้องนี้ ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“เรียนทุกท่าน
งานประมูลในวันนี้ มีผู้เข้าร่วมมากกว่าทุกครั้ง ทางลานประมูลของเราในวันนี้
มีกิจการร้านค้า ที่เข้าประมูลถึงสิบร้านค้า เราจะเริ่มการประมูลกันเลยนะคะ”
เจ้าหน้าที่ของลานประมูลเป็นหญิงสาว อายุราวสิบแปดปี ใบหน้างดงาม
แต่งกายเผยหน้าอกเล็กน้อย ทำให้ชายที่ได้เห็นต่างหลงไหล ไม่เว้นแม่แต่อสูร
“สำหรับร้านค้าร้านแรก
เป็นโรงเตี๊ยมของตระกูลฟู่ มูลค่าที่ส่วนกลางเคยระบุเอาไว้คือ สามหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำค่ะ”
เจ้าหน้าที่ของลานประมูลประกาศสินค้าชิ้นแรกขึ้นมา
ในห้องรับรองของมนุษย์ต่างจับจ้องไปที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงทันที
“กิจการของตระกูลฟู่มีมากเกินไป
ข้าไม่อาจที่จะดูแลได้หมด เหตุจึงต้องมองข้าเช่นนี้ด้วย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดออกไปเมื่อเห็นทุกคนในห้องนี้มองไปที่เขา
“สามหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตัวแทนของตระกูลจั่วยกป้ายประมูลขึ้นมาเป็นคนแรก
“สามหมื่นหนึ่งพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เถ้าแก่โหย่วรีบยกป้ายประมูลแข่งขันทันที โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมของเขานัก
การที่เขายกป้ายประมูลจึงเหมาะสมที่สุด
“ไม่คิดเลยว่าเถ้าแก่โหย่ว
จะสนใจประมูลโรงเตี๊ยมของข้าด้วย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเถ้าแก่โหย่ว
“สามหมื่นห้าพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตัวแทนของตระกูลจั่วยกป้ายประมูลขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าจะเป็นราคาที่สูงกว่าราคากลาง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
“สี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เถ้าแก่โหย่วยกป้ายประมูลอีกครั้ง
การที่เพิ่มราคาขึ้นไปถึงห้าพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกหนักใจ
เนื่องจากตระกูลจั่ว
นั้นวางเงินมัดจำไว้เพียงแค่หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
หากประมูลร้านแรกไปในราคาที่สูงเกินไป เขาจะพลาดการประมูลร้านค้าอื่นได้
และทางลานประมูลจะไม่อนุญาตให้มีการเพิ่มเงินมัดจำโดยเด็ดขาด
“ห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตระกูลซงยกป้ายขึ้นมาประมูล เมื่อเห็นว่าตระกูลจั่วคงไม่อาจสู้ราคาได้อีก
เนื่องจากตระกูลซงนั้นร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้
เงินเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้เขาลำบากเท่าใดนัก และพวกเขาได้วางเงินมัดจำไว้สูงถึงสองแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
เหล่าสหายของเถ้าแก่โหย่ว
รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที หากตระกูลซงสนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ก็ควรที่จะประมูลแต่แรก
เหตุใดเมื่อเห็นว่าตระกูลจั่วจะพ่ายในการประมูล กลับยื่นมือเข้ามาแทรกทันที
“หกหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เถ้าแก่โหย่วยกป้ายประมูลต่อ เมื่อเห็นว่าเอียจื่ออวิ๋นยังคงให้สัญญาณว่าให้ประมูลต่อไป
“ไม่คิดเลยว่า
เถ้าแก่โหย่วจะมีเงินมากถึงเพียงนี้” ฟู่เพียวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“เจ็ดหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตระกูลซงยังคงประมูลต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะแพงแค่ไหน
“แปดหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เถ้าแก่โหย่วก็ยังคงให้ราคาสูงขึ้นไปอีก
ทุกคนในลานประมูลต่างก็จับจ้องมาที่เถ้าแก่โหย่ว
นี่เขาร่ำรวยถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หากนำเงินก้อนนี้ไปแจ้งแก่ส่วนกลาง
อันดับของเถ้าแก่โหย่ว ก็จะขึ้นมาอยู่ในอันดับเจ็ดทันที
“เก้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตระกูลซงจำต้องประมูลต่อไป เป้าหมายของตระกูลอสูรทั้งสองคือการประมูลร้านค้าที่ตระกูลฟู่นำมาขายให้ได้เป็นเป้าหมายหลัก
“หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
นี่เป็นการยกป้ายครั้งสุดท้ายของเถ้าแก่โหย่ว ไม่ว่าตระกูลซงจะยกป้ายหรือไม่
เถ้าแก่โหย่วก็ไม่อาจสู้ราคาได้มากกว่านี้แล้ว
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
ตระกูลซงยกป้ายประมูลอีกครั้ง และเขาก็เป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้
เอียจื่ออวิ๋นแอบยิ้มอยู่ในใจ
แม้ว่าจะน่าเสียดายที่ประมูลร้านค้านี้มาไม่ได้ แต่การประมูลในครั้งนี้ ทำให้นางสามารถคาดคะเนจำนวนเงินที่ตระกูลทั้งสองวางมัดจำเอาไว้ได้
การที่ตระกูลจั่วหยุดยกป้ายประมูลหลังจากที่ราคาขึ้นไปถึง
สี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ หมายความว่า
เงินมัดจำที่วางเอาไว้จะต้องอยู่ราว ๆ สองหรือสามเท่าจากจำนวนนี้ ซึ่งก็คือ
แปดหมื่นถึงหนึ่งแสนสองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ส่วนตระกูลซงนั้นก็อาจจะวางเงินมัดจำไว้มากกว่าตระกูลจั่วสองเท่า
ก็จะอยู่ที่ หนึ่งแสนหกหมื่นถึงสองแสนสี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
หากให้ทั้งสองตระกูลประมูลร้านค้าในราคาที่สูงมาก ๆ ตั้งแต่ช่วงแรก
การประมูลในช่วงหลัง ๆ ก็จะไม่สามารถประมูลราคาแข่งได้……………….จบตอน