test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

2 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.69 แผนของเอียจื่ออวิ๋น


หลังจากที่ได้ข้อมูลจากเถ้าแก่โหย่ว เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็ช่วยกันวิเคราะห์ว่า มีผู้ใดที่น่าสงสัยบ้าง


“ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด ก็ดูน่าสงสัยไปเสียหมด” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดพร้อมกับถอนหายใจ


“ถ้าเช่นนั้นคงจะต้องปรับเปลี่ยนแผนบางอย่างแล้ว” เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป


“เจ้าคิดจะทำเช่นใด?” เซี่ยวหนิงเอ๋อถามออกไปด้วยความสงสัย


“เถ้าแก่โหย่ว หากต้องการซื้อกิจการของเผ่าอสูรจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่?” เอียจื่ออวิ๋นหันไปถามเถ้าแก่โหย่ว


“ในตลาดประมูล เผ่าอสูรมักจะนำกิจการของตนมาประมูลขาย เพื่อโก่งราคา แต่ก็มักจะถูกซื้อไปดยเผ่าอสูรด้วยกัน เนื่องจาก ราคาที่สูงเกินกว่าตระกูลของมนุษย์จะซื้อได้ แต่ก็มีบางครั้งที่ตระกูลฟู่นำกิจการของตนออกประมูลขายเช่นกัน” เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป


“เถ้าแก่โหย่ว ท่านไม่คิดว่าแปลกหรอกหรือ? การขายประมูลเช่นนี้ ไม่ต่างจากการโยกย้ายทรพัย์สินไปมาระหว่างเผ่าอสูรมิใช่หรือ แค่เปลี่ยนมือในการครอบครองเท่านั้น” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมา จากการบอกเล่าของเถ้าแก่โหย่ว

“พวกเราก็เคยคิดเช่นนั้น แต่เนื่องจากตระกูลฟู่ก็ยังมีการซื้อขาย ในตลาดประมูล พวกเราจึงไม่กังวลเท่าใดนัก” เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป


“ท่านไม่คิดหรือว่า หากตระกูลฟู่ และตระกูลอสูรทั้งห้าร่วมมือกัน จะเกิดอะไรขึ้น” เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง


“หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าอาณาจักรแห่งนี้ถูกอสูรครอบครองกิจการมากกว่าแปดส่วน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มนุษย์ในอาณาจักรแห่งนี้จะเป็นเพียงผู้ขายแรงงานเท่านั้น” เถ้าแก่โหย่วพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


“ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากตระกูลฟู่นั้นเป็นตระกูลมนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุด ยามที่ขัดสน พวกเราจึงไปขอกู้เงินจากตระกูลฟู่ และยามที่ต้องการขายกิจการออกไป ก็มักจะขายให้ตระกูลฟู่เช่นกัน แม้ว่าจะได้ราคาไม่มากนัก แต่ก็คงดีกว่า หากกิจการของพวกเขายังอยู่ในมือของมนุษย์ด้วยกัน พวกเราต่างก็คิดเช่นนี้” เถ้าแก่โหย่วอธิบายต่อ


“เถ้าแก่โหย่ว ท่านสามารถติดต่อกับเจ้าของกิจการที่เป็นมนุษย์คนอื่น ๆ ได้หรือไม่ ข้าต้องการให้ท่านไปเชิญพวกเขามาพบ โดยที่ต้องพยายามปกปิดไม่ให้ตระกูลฟู่ทราบเรื่องนี้” เอียจื่ออวิ๋นคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบขอให้เถ้าแก่โหย่วช่วยเหลือ


“ข้าพอจะมีสหายที่เชื่อใจได้อยู่ราวสิบคน พวกเขาล้วนเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ ที่มีทรัพย์สินอยู่ราว ๆ สองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ท่านต้องการให้ข้าเรียกพวกเขามาทำด้วยเหตุใดกัน?” เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป แต่ก็มีสีหน้าที่สงสัยอย่างเห็นได้ชัด


“จื่ออวิ๋นต้องการให้พวกท่านจับกลุ่มกัน เพื่อที่จะกว้านซื้อกิจการของตระกูลฟู่และของเผ่าอสูร” หนิงเอ๋อพูดแทรกขึ้นมา แผนของจื่ออวิ๋นนี้ง่ายดายและไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด หนิงเอ๋อจึงสามารถเข้าใจได้ทันที


“เดิมทีข้าคิดที่จะให้หนิงเอ๋อ เป็นผู้ครอบครองกิจการทั้งหมด แต่หากทำเช่นนั้น พวกเราจะเป็นจุดเด่นมากเกินไป หากทำให้ตระกูลที่มีกิจการในอาณาจักรแห่งนี้ค่อย ๆ ร่ำรวยขึ้น จะดูน่าสงสัยน้อยกว่า ฝ่ายศัตรูจะได้ไม่สงสัยพวกเราอีกด้วย” จื่ออวิ๋นอธิบาย


“ข้าเข้าใจแล้ว คืนนี้ข้าจะเชิญเหล่าสหายของข้ามาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และมารับฟังแผนจากพวกท่าน สหายของข้าเป็นคนที่ท่านสามารถไว้ใจได้อย่างแน่นอน” เถ้าแก่โหย่วพูดด้วยความมั่นใจ


ในคืนนั้น เถ้าแก่โหย่วได้เรียกสหายของเขามา รวมกับตัวเถ้าแก่โหย่วแล้วก็มีทั้งหมดสิบคน ซึ่งล้วนแต่เป็นพ่อค้า เจ้าของกิจการที่อายุมากแล้วและคบหากับเถ้าแก่โหย่วมาหลายสิบปี เมื่อเถ้าแก่โหย่วได้บอกสิ่งที่เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อรู้สึกสงสัย พวกเขาก็ต้องตกใจกันเป็นอย่างมาก


“ที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นข้อสงสัย แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือไม่” เถ้าแก่ปู้ เจ้าของกิจการขายผ้า แย้งขึ้นมา


“แน่นอนว่า พวกข้ายังไม่มีหลักฐาน หากพวกท่านให้ความร่วมมือความจริงก็จะปรากฏขึ้นมาเอง และหากพวกข้าคิดผิด ข้าก็ยินดีที่จะมอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้แก่พวกท่านจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง


“แล้วเจ้าจะให้พวกข้าทำเช่นใด” เถ้าแก่ฉาเจ้าของร้านน้ำชาถามกลับไป


“ข้าจะมอบเงินให้แก่พวกท่านเป็นจำนวนหนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ เมื่อพวกท่านได้รับเงินไปแล้ว ขอให้พวกท่านไปดูในตลาดประมูล ให้ประมูลซื้อกิจการของพวกอสูรมา เพื่อให้อันดับของพวกท่านนั้นสูงขึ้น” เอียจื่ออวิ๋นอธิบายแผนของนางอย่างช้า ๆ พร้อมกับนำแหวนห้วงมิติที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งแสนก้อนออกมาวางบนโต๊ะ


“หากทำเช่นนั้นพวกข้าจะขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เจ็ด ก็ยังต่ำกว่าอันดับของพวกอสูรมิใช่หรือ?” เถ้าแก่จิ่วที่เป็นเจ้าของร้านเหล้า แย้งกลับไป ขณะที่คนอื่น ๆ ยังคงฟังอยู่เงียบ ๆ


“หากพวกท่านสามารถทำแผนขั้นแรกได้สำเร็จ ข้าก็จะมอบเงินให้แก่พวกท่านอีก เพื่อที่จะนำไปประมูลซื้อในครั้งต่อไป เมื่อพวกท่านสามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หกได้ พวกอสูรจะต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นแน่ และเมื่อนั้นพวกเราก็จะรู้ความจริง” เอียจื่ออวิ๋นตอบกลับไป


“ตลาดประมูลจะมีในอีกสามวันข้างหน้า ขอให้พวกเจ้าเลือกประมูลกิจการที่ใกล้เคียงกับกิจการเดิมของพวกเจ้า และอย่าได้แย่งประมูลกันเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ราคาสูงขึ้นโดยไร้ประโยชน์” เถ้าแก่โหย่วพูดแทรกขึ้นมา


“การที่ข้ามอบเงินให้แก่พวกท่านโดยที่ไม่ต้องทำสัญญาเงินกู้ เพราะข้าเชื่อว่าสหายของเถ้าแก่โหย่ว นั้นคงจะเชื่อใจได้ ขอให้ทุกท่านทำตามแผนและอย่าได้เปิดเผยให้แก่ผู้อื่นได้ทราบในเรื่องนี้” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนหวาน


“สหายเอ๋ย แม่นางทั้งสองเป็นยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงไม่คิดที่จะลองดีกับพวกนางหรอกนะ” เถ้าแก่โหย่วหันไปเตือนสหายของเขา


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ บางคนก็แอบคิดที่จะยักยอกเงินเอาไว้ เนื่องจากไม่ได้มีสัญญาเงินกู้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดโดยทันที ยอดฝีมือระดับเทพสงครามในอาณาจักรแห่งนี้มีไม่มากนัก และเกือบทั้งหมดเป็นพวกอสูร


“หลังจากจบงานประมูลในอีกสามวันข้างข้า ขอให้มาพบกับกันอีกครั้ง พวกท่านสามารถประมูลซื้อโดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องราคา หากราคาไม่แพงไปกว่าที่ข้าให้ไป ก็จงประมูลมาให้ได้” เอียจื่ออวิ๋นกำชับก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไป


สามวันต่อมาในลานประมูล เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า ติดตามเถ้าแก่โหย่วเข้าไปในลานประมูล


ในลานประมูลแห่งนี้ ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องวางเงินมัดจำเอาไว้เท่ากับจำนวนเงินสูงสุดที่จะประมูลได้ เช่นวางมัดจำไว้หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ก็จะประมูลได้เพียงแค่หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ และหากประมุลไปหนึ่งครั้ง ก็จะต้องหักเงินค่ามัดจำออกไปทันที เช่นหากประมูลกิจการแห่งหนึ่งได้ไปในราคาห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ก็จะสามารถประมูลต่อไปได้อีกไม่เกินห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น


เมื่อมองไปโดยรอบก็พบเหล่าสหายของเถ้าแก่โหย่วกันพร้อมหน้า พวกเขาได้ถูกเชิญไปรวมตัวกันที่ห้องรับรองของมนุษย์ ที่แยกไว้เป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพียงแค่กล่าวทักทายกันตามปกติ เนื่องจากในห้องนี้ ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน


“เรียนทุกท่าน งานประมูลในวันนี้ มีผู้เข้าร่วมมากกว่าทุกครั้ง ทางลานประมูลของเราในวันนี้ มีกิจการร้านค้า ที่เข้าประมูลถึงสิบร้านค้า เราจะเริ่มการประมูลกันเลยนะคะ” เจ้าหน้าที่ของลานประมูลเป็นหญิงสาว อายุราวสิบแปดปี ใบหน้างดงาม แต่งกายเผยหน้าอกเล็กน้อย ทำให้ชายที่ได้เห็นต่างหลงไหล ไม่เว้นแม่แต่อสูร


“สำหรับร้านค้าร้านแรก เป็นโรงเตี๊ยมของตระกูลฟู่ มูลค่าที่ส่วนกลางเคยระบุเอาไว้คือ สามหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำค่ะ” เจ้าหน้าที่ของลานประมูลประกาศสินค้าชิ้นแรกขึ้นมา ในห้องรับรองของมนุษย์ต่างจับจ้องไปที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงทันที


“กิจการของตระกูลฟู่มีมากเกินไป ข้าไม่อาจที่จะดูแลได้หมด เหตุจึงต้องมองข้าเช่นนี้ด้วย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดออกไปเมื่อเห็นทุกคนในห้องนี้มองไปที่เขา


“สามหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตัวแทนของตระกูลจั่วยกป้ายประมูลขึ้นมาเป็นคนแรก


“สามหมื่นหนึ่งพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” เถ้าแก่โหย่วรีบยกป้ายประมูลแข่งขันทันที โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมของเขานัก การที่เขายกป้ายประมูลจึงเหมาะสมที่สุด


“ไม่คิดเลยว่าเถ้าแก่โหย่ว จะสนใจประมูลโรงเตี๊ยมของข้าด้วย” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเถ้าแก่โหย่ว


“สามหมื่นห้าพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตัวแทนของตระกูลจั่วยกป้ายประมูลขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นราคาที่สูงกว่าราคากลาง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจเท่าใดนัก


“สี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” เถ้าแก่โหย่วยกป้ายประมูลอีกครั้ง การที่เพิ่มราคาขึ้นไปถึงห้าพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกหนักใจ


เนื่องจากตระกูลจั่ว นั้นวางเงินมัดจำไว้เพียงแค่หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ หากประมูลร้านแรกไปในราคาที่สูงเกินไป เขาจะพลาดการประมูลร้านค้าอื่นได้ และทางลานประมูลจะไม่อนุญาตให้มีการเพิ่มเงินมัดจำโดยเด็ดขาด


“ห้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตระกูลซงยกป้ายขึ้นมาประมูล เมื่อเห็นว่าตระกูลจั่วคงไม่อาจสู้ราคาได้อีก เนื่องจากตระกูลซงนั้นร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้ เงินเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้เขาลำบากเท่าใดนัก และพวกเขาได้วางเงินมัดจำไว้สูงถึงสองแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ


เหล่าสหายของเถ้าแก่โหย่ว รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที หากตระกูลซงสนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ก็ควรที่จะประมูลแต่แรก เหตุใดเมื่อเห็นว่าตระกูลจั่วจะพ่ายในการประมูล กลับยื่นมือเข้ามาแทรกทันที


“หกหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” เถ้าแก่โหย่วยกป้ายประมูลต่อ เมื่อเห็นว่าเอียจื่ออวิ๋นยังคงให้สัญญาณว่าให้ประมูลต่อไป


“ไม่คิดเลยว่า เถ้าแก่โหย่วจะมีเงินมากถึงเพียงนี้” ฟู่เพียวเลี่ยงพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ


“เจ็ดหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตระกูลซงยังคงประมูลต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะแพงแค่ไหน


“แปดหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” เถ้าแก่โหย่วก็ยังคงให้ราคาสูงขึ้นไปอีก ทุกคนในลานประมูลต่างก็จับจ้องมาที่เถ้าแก่โหย่ว นี่เขาร่ำรวยถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หากนำเงินก้อนนี้ไปแจ้งแก่ส่วนกลาง อันดับของเถ้าแก่โหย่ว ก็จะขึ้นมาอยู่ในอันดับเจ็ดทันที


“เก้าหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตระกูลซงจำต้องประมูลต่อไป เป้าหมายของตระกูลอสูรทั้งสองคือการประมูลร้านค้าที่ตระกูลฟู่นำมาขายให้ได้เป็นเป้าหมายหลัก


“หนึ่งแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” นี่เป็นการยกป้ายครั้งสุดท้ายของเถ้าแก่โหย่ว ไม่ว่าตระกูลซงจะยกป้ายหรือไม่ เถ้าแก่โหย่วก็ไม่อาจสู้ราคาได้มากกว่านี้แล้ว


“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” ตระกูลซงยกป้ายประมูลอีกครั้ง และเขาก็เป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้


เอียจื่ออวิ๋นแอบยิ้มอยู่ในใจ แม้ว่าจะน่าเสียดายที่ประมูลร้านค้านี้มาไม่ได้ แต่การประมูลในครั้งนี้ ทำให้นางสามารถคาดคะเนจำนวนเงินที่ตระกูลทั้งสองวางมัดจำเอาไว้ได้ การที่ตระกูลจั่วหยุดยกป้ายประมูลหลังจากที่ราคาขึ้นไปถึง สี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ หมายความว่า เงินมัดจำที่วางเอาไว้จะต้องอยู่ราว ๆ สองหรือสามเท่าจากจำนวนนี้ ซึ่งก็คือ แปดหมื่นถึงหนึ่งแสนสองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ส่วนตระกูลซงนั้นก็อาจจะวางเงินมัดจำไว้มากกว่าตระกูลจั่วสองเท่า ก็จะอยู่ที่ หนึ่งแสนหกหมื่นถึงสองแสนสี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ หากให้ทั้งสองตระกูลประมูลร้านค้าในราคาที่สูงมาก ๆ ตั้งแต่ช่วงแรก การประมูลในช่วงหลัง ๆ ก็จะไม่สามารถประมูลราคาแข่งได้……………….จบตอน


แต่งโดย นายมะพร้าว


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง