เมื่อเห็นท่าทีของจื่ออวิ๋น
หนิงเอ๋อก็สามารถเข้าใจได้ทันที นางหยิบถ้วยน้ำชา ที่น้ำกระฉอกกลายเป็นน้ำแข็งขึ้นมา
และใช้ลมปราณอัสนีให้ความร้อนแก่ถ้วยน้ำชา ทำให้น้ำชาที่แข็งอยู่ค่อย ๆ
ละลายกลับมาในชามดังเดิมและยกขึ้นดื่ม ลมปราณที่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อแผ่ออกมามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง
“เจ้าทั้งสองกล้าดีอย่างไรจึงพูดเช่นนี้กับข้า
ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หากใครสั่งสองแม่นางทั้งสองนี้ได้
ข้าจะให้ค่าตอบแมนเป็นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งก้อน” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงหันไปพูดกับคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมด้วยเสียงที่ดังมาก
แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่สนใจคำพูดของฟู่เพี่ยวเลี่ยงแม้แต่น้อย
ทำให้ฟู่เพี่ยวเลี่ยงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ฟู่เพี่ยวเลี่ยงนั้นเป็นผู้ไร้วรยุทธ
ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ได้ก็เป็นเพราะอำนาจแห่งเงินของตระกูลเท่านั้น
“พวกเจ้าไม่ต้องการศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำของข้าหรืออย่างไร?” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงตะโกนออกไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้แต่พวกลูกน้องของเขาก็ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ลูกน้องของของฟู่เพี่ยวเลี่ยง
ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์
“คุณชายฟู่
ไม่ใช่ว่าผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะไม่สนใจศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำของท่าน
แต่ท่านเป็นผู้ไร้วรยุทธ จึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของพวกนาง
ชาวยุทธที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ไม่มีผู้ใดที่กล้าสบตามมองแม่นางทั้งสองเสียด้วยซ้ำ”
ยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งระดับวิถีแห่งมังกรคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมา
เขาต้องการที่จะทานอาหารให้เสร็จและออกจากโรงเตี๊ยมนี้ไปให้เร็วที่สุด
“คุณชายฟู่
ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้
แม้ว่าโรงเตี๊ยมของข้าจะเป็นสิ่งที่ค้ำประกันเงินกู้ไว้กับตระกูลฟู่
แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาก่อเรื่องที่นี่ได้” เถ้าแก่โหย่ว พูดกับฟู่เพี่ยวเลี่ยงอย่างสุภาพ
“เถ้าแก่โหย่ว
หุบปากไปซะ ถ้าต้องการไล่ข้าออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ก็จงจ่ายเงินกู้มาสองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
โรงเตี๊ยมของเจ้านั้นมีค่าน้อยกว่าเงินที่เจ้ากู้เสียด้วยซ้ำ
ข้าจะยึดโรงเตี๊ยมแห่งนี้เมื่อไหร่ก็ได้” ท่าทีของฟู่เพี่ยวเลี่ยงต่างไปจากเดิมยิ่งนัก
เขาดูเป็นคนเจ้าอารมณ์ที่หาเรื่องเถ้าแก่โหย่วอย่างไร้เหตุผล
“ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ตามสัญญาเงินกู้ยังเหลือเวลาชำระหนี้อีกสามเดือนมิใช่หรือ?” เถ้าแก่โหย่วแย้งกลับไป
“นั่นมันเรื่องของข้า
สัญญาข้าสามารถเขียนขึ้นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ ข้าต้องการเงินของข้าคืนในวันพรุ่งนี้พร้อมดอกเบี้ยวตามสัญญา
หากหาเงินมาคืนขึ้นข้าไม่ได้ข้าจะยึดโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของตระกูลฟู่ซะ” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงพูดพร้อมกับเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
เถ้าแก่โหย่วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บแค้น
เขานั้นทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของตระกูลเขา หากลูกของเขาไม่ล้มป่วย
เขาคงจะไม่นำไปค้ำประกันเงินกู้เป็นแน่ ในตอนนี้กำไรส่วนใหญ่ของร้านก็หมดไปกับการซื้อยามารักษาลูกของเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อจึงพาเถ้าแก่โหย่ว
ไปยังห้องด้านหลังจากนั้นเอียจื่ออวิ๋นก็หยิบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของออกมาวงหนึ่ง
ให้แก่เถ้าแก่โหย่ว
“เถ้าแก่โหย่ว
ในแหวนวงนั้นมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนห้าหมื่นก้อน
ท่านจงนำไปชำระหนี้ของคุณชายฟู่
เงินที่เหลือนั้นข้าขอจ่ายเป็นค่าซื้อโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แน่นอนว่าหากท่านต้องการก็สามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้เช่นเดิม
และเมื่อใดที่ท่านหาเงินมาคืนข้าได้ ข้าก็จะคืนโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้กับท่าน”
เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไป ท่าทางของนางดูสูงศักดิ์ และงดงามยิ่งนัก แม้จะดูเย็นชา
แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก
ข้ายินดีที่ทำสัญญาเงินกู้กับท่านและนำไปส่งให้แก่ส่วนกลาง” เถ้าแก่โหย่วพูดทั้งน้ำตา
หญิงงามสองคนจากอาณาจักรอื่น กลับมีน้ำใจให้แก่เขาถึงเพียงนี้
เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
“ส่วนกลาง
ท่านหมายถึงอันใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋นถามด้วยความสงสัยสัย
“ส่วนกลางคือ ร้านแลกเงินที่รวบรวมข้อมูลทางการเงินของผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้
และเป็นผู้จัดอันดับความร่ำรวยของผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้
โดยไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นมนุษย์หรืออสูร
ผู้ที่ร่ำรวยมากที่สุดจะมีอำนาจไม่ต่างจากประมุขของอาณาจักรแห่งนี้เลยทีเดียว”
เถ้าแก่โหย่วอธิบายอย่างช้า ๆ
เนื่องจากในอาณาจักรอื่นไม่มีที่ใดที่ปกครองกันเช่นอาณาจักรแห่งนี้
“ถ้าเช่นนั้น
เถ้าแก่โหย่วช่วยแจ้งไปยังส่วนกลางด้วยว่า
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นสมบัติของแม่นางเซี่ยวหนิงเอ๋อ สัญญาเงินกู้ระหว่างเรา
ข้ากำหนดไว้เพียงว่า เมื่อใดที่ท่านนำเงินทั้งหมดมาคืนข้า ท่านจะได้รับโรงเตี๊ยมแห่งนี้คืนไป
รายได้ของโรงเตี๊ยมที่ได้รับในแต่ละวัน ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ดูแลทั้งหมด
กำไรหลักจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั่นคือค่าแรงของท่าน
ข้าต้องการเพียงที่พักหนึ่งห้องพร้อมอาหารเท่านั้นเป็นค่าออกเบี้ย”
เอียจื่ออวิ๋นพูดกับเถ้าแก่โหย่วอย่างเป็นมิตร
หนิงเอ๋อรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินที่จื่ออวิ๋นพูด
แต่จื่อวิ๋นก็ยกมือห้ามไม่ให้นางพูดอะไรออกไป
เถ้าแก่โหย่วร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี
เขาประสานมือและพูดออกไปว่า “แม่นางทั้งสองดั่งเทพธิดาลงมาโปรด
ข้าจะทำทุกอย่างตามที่แม่นางทั้งสองบัญชา”
ในวันนี้
ข้อมูลที่ได้จากเถ้าแก่โหย่ว ก็มากพอที่พวกนางไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาทางที่อื่น ๆ
พวกนางจึงกลับไปที่ห้องพัก
“จื่ออวิ๋น
เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของข้าในการแจ้งส่วนกลางด้วย”
หนิงเอ๋อถามออกไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้
เจ้าจะได้รู้จักวิธีการปกครองเอาไว้ เมื่อใดที่แต่งงานกับเนี่ยลี่
เจ้ากับข้าจะต้องเป็นผู้ปกครองเขา
ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าคงต้องถูกเนี่ยลี่รังแกตลอดไปแน่”
จื่ออวิ๋นตอบกลับไปพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยวหนิงหนิงเอ๋อคิดอยู่ในใจว่า
‘นางนั้นยินดีที่จะถูกเนี่ยลี่รังแก’
หลังจากนั้นใบหน้าของนางก็เริ่มมีสีแดง
นางจึงขอตัวนอนพักผ่อนพื่อไม่ให้เอียจื่ออวิ๋นสังเกตุเห็นใบหน้าของนาง
[วันที่สองนับจากการเดินทางมาอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์]
เช้าวันต่อมา ฟู่เพี่ยวเลี่ยงกลับมาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง เถ้าแก่โหย่วยืนรอที่หน้าโรงเตี๊ยมและมอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนสองหมื่นห้าพันก้อนให้แก่ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
“นี่คือเงินที่ข้ากู้มาจากตระกูลฟู่
พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา
จงนำสัญญาเงินกู้มาคืนให้แก่ข้าแล้วท่านจงออกไปจากโรงเตี๊ยมของข้า” เถ้าแก่โหย่วพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปขอสัญญาเงินกู้
ฟู่เพี่ยวเลี่ยงจำต้องหยิบสัญญาเงินกู้ออกมาและ
ส่งให้แก่เถ้าแก่โหย่วด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยถูกผู้ใดเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน
ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับลูกน้องของเขาด้วยความไม่พอใจ
เขาคงไม่กล้าที่จะเข้ามาวางอำนาจในโรงเตี๊ยมแห่งนี้อีกต่อไป
“เถ้าแก่โหย่ว
ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับท่าน” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมา
เมื่อเห็นเถ้าแก่โหย่วกลับเข้ามาในร้าน
“ถ้าเช่นนั้นเชิญไปยังห้องของข้า”
เถ้าแก่โหย่วเห็นว่าลูกค้าในร้านอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเชิญไปคุยเป็นการส่วนคัว
ซึ่งเอียจื่ออวิ๋นก็ต้องการเช่นเดียวกัน
“ข้าตรวจอาการลูกของท่านแล้ว
เขามิได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงแต่อย่างใด
แต่ดูเหมือนว่าสมุนไพรที่อาณาจักรแห่งนี้จะคุณภาพไม่ดีนัก
ข้าจึงใช้สมุนไพรที่พกติดตัวมาต้มให้เขาดื่ม อีกไม่นานเขาก็จะหายดี ท่านสบายใจได้”
เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไปพร้อมกับยิ้ม
“ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก
บุญคุณของแม่นางทั้งสองข้าจะจดจำไปชั่วชีวิต” เถ้าแก่โหย่ว ประสานมือและก้มศีรษะ
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
“หากท่านต้องการที่ตอบแทน
ข้าก็มีเรื่องที่ต้องขอให้ท่านช่วยเหลือ”
เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเล็กน้อย
“เชิญท่านบอกข้ามาได้”
เถ้าแก่โหย่วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง หากมีโอกาสได้ตอบแทนทั้งสองคน เขาก็ยินดี
“พวกข้าต้องการอันดับความร่ำรวยของอาณาจักรแห่งที่
ที่ส่วนกลางได้จัดอันดับ”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งฟังมานานพอสมควร
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”
เถ้าแก่โหย่วตอบพร้อมกับถอนหายใจ
“หรือว่ามันเป็นความลับ
ถ้าเช่นนั้นเหตุใดฟู่เพี่ยวเลี่ยงจึงสามารถนำมาใช้อวดอ้างได้”
เอียจื่ออวิ๋นถามด้วยความสงสัย
“ผู้ที่ถูกจัดอันดับ
จะทราบเพียงอันดับของตนเองเท่านั้น ตระกูลส่วนใหญ่จะลงทะเบียนในนามตระกูล
เพื่อที่จะนำสมบัติมาคิดคำนวนรวมกันได้
อาณาจักรแห่งนี้จะเปิดเผยอันดับของตระกูลที่ร่ำรวยสิบอันดับแรกเท่านั้น”
เถ้าแก่โหย่วตอบกลับไป การที่เปิดเผยสิบอับดันดับเพื่อที่ป้องกันไม่ให้มีผู้ใดสามารถแอบอ้างสิบอันดับตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดได้
“เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว
ข้าต้องการให้ท่านหาข้อมูลของตระกูลทั้งสิบที่ครองอันดับอยู่และ
มูลทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมด” เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไปด้วยความยินดี
หลังจากนั้น
เถ้าแก่โหย่วขอเวลาหนึ่งวันในการตรวจสอบข้อมูล
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อจึงเดินออกไปสำรวจรอบ ๆ เมืองและได้พบว่า
สิ่งของต่าง ๆในอาณาจักรแห่งนี้ราคาสูงยิ่งนัก โดยเฉพาะยาและอาหารที่หาได้ยากยิ่ง
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มาจากต่างอาณาจักร จึงไม่แปลกที่ราคาจะสูงมาก
แม้ว่าในเมืองนี้
มนุษย์และอสูรจะอยู่ร่วมกันได้ แต่ภายนอกเมืองยังมีมนุษย์และอสูรที่อาศัยอยู่กันตามถ้ำด้านนอก
เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการอยู่ร่วมกับเผ่าพันธ์อื่นที่ต่างจากตนเอง
จากข้อมูลที่หามาได้
ทั้งสองคนก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ใดที่เป็นสาวกของบริวารแห่งเทพ
พวกนางจึงมุ่งเป้าไปยังตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้เป็นอันดับแรก
เย็นวันนั้น
เถ้าแก่โหย่วได้รวบรวมข้อมูลมาให้แก่ทั้งสอง ทั้งสองคนจึงรีบหยิบมาดูทันที
“ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นเผ่าอสูร
คือตระกูลซง [凶:ดุร้าย
ชั่วร้าย] มีทรัพย์สินราว ๆ แปดแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
ตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองนั้นนก็เป็นตระกูลของอสูรเช่นกัน คือตระกูลจั่ว [爪:กรงเล็บ] มีทรัพย์สินราว ๆ
ห้าแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ส่วนตระกูลฟู่นั้น มีทรัพย์สินราว ๆ
สามแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ”
เถ้าแก่โหย่วอธิบายขณะที่ทั้งสองคนกำลังดูข้อมูลที่เขานำมา
“ตระกูลฟู่
มีทรัพย์สินเพียงเท่านี้ กลับอวดดีได้ถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” เอียจื่ออวิ๋นอดแปลกใจไม่ได้
“อันดับสี่ ห้า และหก
ก็เป็นพวกอสูร แต่ละอันดับมีทรัพย์สินไม่ต่างกันเท่าใดนักคือ ราว ๆ
สองแสนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ” เซี่ยวหนิงเอ๋อรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ในหกอันดับแรก
มีอสูรที่ติดอันดับถึงห้าอันดับ
“พวกอสูรนั้นร่ำรวยจนดูผิดสังเกตุ
เถ้าแก่โหย่วทราบหรือไม่ว่า พวกเขามีรายได้มาด้วยวิธีใดกัน”
เอียจื่ออวิ๋นหันไปถามเถ้าแก่โหย่ว
“ไม่มีผู้ใดทราบ
แต่ส่วนกลางนั้นมีทั้งมนุษย์และอสูรเป็นผู้ตรวจสอบ ดังนั้นข้อมูลทรัพย์สินเหล่านี้มีความถูกต้องและตรวจสอบได้”
เถ้าแก่โหย่วตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“จื่ออวิ๋น
เจ้าไม่รู้สึกแปลกใจหรือว่า เหตุใดตระกูลฟู่
จึงมีทรัพย์สินมากพอที่จะแย่งชิงอันดับสามมาได้”
หนิงเอ๋อรู้สึกแปลกใจเมื่อตรวจสอบดูโดยละเอียด
แม้ว่าอันดับเจ็ดถึงสิบจะเป็นตระกูลของมนุษย์
แต่ก็มีทรพัย์สินเพียงแค่ไม่กี่หมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงเอ๋อ
จื่ออวิ๋นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเช่นกัน
“หากพวกท่านต้องการทราบ
เดิมทีโรงเตี๊ยมของข้านั้น ถูกประเมินราคาไว้ที่ราว ๆ
สองหมื่นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ในเวลานั้นข้าเคยอยู่ในอันดับที่ยี่สิบ
และการที่มีอสูรติดอันดับเพียงแค่ห้าอันดับ
ก็เป็นเพราะในอาณาจักรแห่งนี้มีอสูรอยู่เพียงห้าตระกูลเท่านั้น”
เถ้าแก่โหย่วพูดออกไป
ห้องโถงใหญ่ตระกูลฟู่
“เพี่ยวเลี่ยง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำให้ตระกูลของเรา
พลาดโอกาสที่จะได้ครอบครองโรงเตี๊ยมเหรินโหย่ว นี่เจ้าทำบ้าอันใดกัน?” ผู้นำตระกูลฟู่ เป็นชายที่อยู่ใต้ผ้าคลุมตะโกนต่อว่าฟู่เพี่ยวเลี่ยงอย่างรุนแรง
“ท่านพ่อบุญธรรม
ข้าขออภัย ข้าไม่คิดเลยว่า เถ้าแก่โหย่วจะหาเงินมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยงคุกเข่าขอโทษด้วยความหวาดกลัว
เนื่องจากพ่อบุญธรรมของเขาหาใช่มนุษย์ไม่
“ข้ารับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม
เพื่อให้ออกหน้าแทน เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เข้าใจว่าตระกูลของเราเป็นมนุษย์
เป้าหมายของเราคือการยึดครองกิจการของพวกมนุษย์ทั้งหมด เจ้าลืมเรื่องนี้ไปแล้วรึ?” ผู้นำตระกูลฟู่ ยังคงต่อว่าฟู่เพี่ยวเลี่ยง
เขาถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่จำความไม่ได้ เขารักและนับถือผู้นำตระกูลฟู่อย่างใจจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกยุทธ
แต่เขาก็ได้รับเงินทองใช้จ่ายราวกับเป็นคุณชายตั้งแต่เด็ก
ผู้นำตระกูลฟู่มีเป้าหมายที่จะ
ยึดครองกิจการของมนุษย์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็จะว่าจ้างให้มนุษย์ทำงานดั่งทาส
แต่หากให้อสูรเข้าไปกว้านซื้อ พวกมนุษย์ก็จะต้องปฏิเสธเป็นแน่
เขาจึงคิดที่จะใช้ฟู่เพี่ยวเลี่ยง ที่เป็นมนุษย์ทำหน้าที่กว้านซื้อ
และปล่อยเงินกู้แทน จนกว่าเป้าหมายจะลุล่วง ฟู่เพี่ยวเลี่ยงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในตอนนี้
“หากพวกมนุษย์รู้ว่า
อสูรครอบครองกิจการทุกอย่างในอาณาจักรแห่งนี้ พวกมันจะต้องคิดต่อต้านเป็นแน่
แต่ตราบใดที่ตระกูลของมนุษย์ยังครอบครองอันดับที่สามอยู่
พวกมันก็ไม่อาจที่จะทำเช่นนั้นได้”
ผู้นำตระกูลฟู่พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว.................จบตอน