test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

31 ธ.ค. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.67 อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์




ในตอนนี้อีกห้าอาณาจักรที่เหลือคือ อาณาจักรเทพวายุ อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ อาณาจักรซากทมิฬ อาณาจักรหุบเขาสวรรค์ และอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ ผู้ที่มีอาวุธพร้อมแล้วก็มีเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ส่วนอาวุธสำหรับตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นก็ใกล้ที่จะทำเสร็จแล้ว อาวุธของต้วนเจี้ยนก็คงจะต้องเป็นหลังจากนั้น ส่วนอาวุธของ เว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้ง ดูเหมือนว่าฮัวเตี่ยก็ใกล้ที่จะทำสำเร็จแล้ว


คนที่พร้อมที่สุดในเวลานี้ก็เป็นเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ เนี่ยลี่จึงตัดสินใจที่จะให้พวกนางเดินทางไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเสียดฟ้า หลังจากนั้นเนี่ยลี่จึงใช้เส้นทางสวรรค์ สร้างเส้นทางไปยังนิกายเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง


เนี่ยลี่ได้ขอพบกับปรมาจารย์อินเยวี่ย เพื่อขออนุญาตให้เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อเดินทางไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ซึ่งปรมาจารย์อินเยวี่ยก็ได้อนุญาต และกำชับให้พวกนางดูแลตัวเองให้ดี


“เนี่ยลี่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์เป็นที่เช่นใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋นเอ่ยถามขณะที่เนี่ยลี่กำลังเตรียมที่จะเปิดเส้นทางสวรรค์ขึ้นอีกครั้ง


“อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ที่ข้าเคยรู้จัก เป็นดินแดนอันหนาวเหน็บที่อยู่บนเทือกเขาเสียดฟ้า หากจะพูดให้เห็นภาพ ก็คงจะเหมือนกับเมืองกลอรี่ของเราตอนที่พวกอสูรวายุเหมันต์ครอบครองเทือกเขาบรรชนอยู่ เพียงแต่ว่าอาณาจักรแห่งนี้อยู่ใกล้กับท้องฟ้า จึงมีเมฆฝนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีฟ้าฝ่าอยู่บ่อยครั้ง” เนี่ยลี่พยายามอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่นั่นเป็นอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ในอดีตชาติ ไม่รู้ว่าในตอนนี้จะแตกต่างจากที่เขารู้จักหรือไม่


“แต่พายุหิมะ และ สายฟ้า นั้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกเราได้ เจ้าจึงเลือกให้พวกเรามาจัดการสินะ” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม


“ข้อมูลจากข้าอาจจะไม่มีประโยชน์มากนัก พวกเจ้าอาจจะต้องลองหาข้อมูลเองเมื่อไปถึงที่อาณาจักรแห่งนั้น” เนี่ยลี่พูดขณะที่เปิดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ


“ต้องการให้ข้าไปส่งที่นั่นหรือไม่?” เนี่ยลี่ยิ้มและถามออกไป


“ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายสิ่ง เรื่องนี้เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้ากับหนิงเอ๋อ” เอียจื่ออวิ๋นพูดออกมาขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในเส้นทางสวรรค์ที่เนี่ยลี่เปิดเอาไว้


“ทั้งสองคน จงรับสิ่งนี้ไป” เนี่ยลี่โยนแหวนห้วงมิติสองวงให้กับทั้งสองคน ในนั้นมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำอยู่วงละหนึ่งล้านก้อน


“เหตุใดจึงต้องให้มามากถึงเพียงนี้” เอียจื่ออวิ๋นบ่นหลังจากที่ตรวจดูข้างไหนแหวน เนี่ยลี่นั้นไม่รู้จักประหยัดเลยแม้แต่น้อย


“เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นของหมั้นหมาย” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะออกไป


เซี่ยวหนิงเอ๋อกำแหวนที่เนี่ยลี่มอบให้เอาไว้แน่น ใบหน้าของนางเริ่มมีสีแดง นางจึงรีบวิ่งเข้าไปในเส้นทางสวรรค์ทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋นจึงรีบตามเข้าไป


“ข้าจะมาหาพวกเจ้าทุกเจ็ดวันตรงตำแหน่งที่ส่งพวกเจ้าไปนะ” เนี่ยลี่ตะโกนออกไปบอกทั้งสองคน เอียจื่ออวิ๋นหันมาพยักหน้าตอบรับก่อนที่เส้นทางสวรรค์จะปิดลงไป หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็กลับไปพักผ่อนที่นิกายพิทัก์สวรรค์ การที่ต้องใช้เส้นทางสวรรค์ถึงสามครั้ง ทำให้เขาใช้พลังสวรรค์ไปจนแทบหมดแรง


เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อ ที่ถูกส่งมายังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ทางออกของเส้นทางสวรรค์อยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมืองเท่าใดนัก


กำแพงเมืองของอาณาจักรแห่งนี้สูงใหญ่ แต่ก็เต็มไปด้วยหิมะ บนท้องฟ้ามีเมฆฝนสีดำดั่งที่เนี่ยลี่บอกเอาไว้ มีฟ้าฝ่าลงมาทุก ๆ ห้านาที นี่คือสิ่งที่ต่างจากเมืองกลอรี่


นอกกำแพงเมืองนี้หนาวเหน็บยิ่งนัก เอียจื่ออวิ๋นจึงชักชวนเซี่ยวหนิงเอ๋อเข้าไปในเมือง ทั้งสองจึงเดินไปยังหน้าประตูเมืองพวกนางก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก ทหารผู้ปกป้องประตูเมืองล้วนแต่เป็นอสูร


“จื่ออวิ๋น หรือว่าเนี่ยลี่จะส่งพวกเรามายังนิกายอสูร” หนิงเอ๋อหันไปถามจื่ออวิ๋นด้วยความตกใจ


“เนี่ยลี่ไม่ใช่คนที่จะทำผิดพลาดเช่นนั้น ถึงอย่างไรระดับพลังของพวกเราก็อยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า หากนี่เป็นนิกายอสูรจริง พวกเราก็สามารถจัดการได้” จื่ออวิ๋นตอบกลับไป และเดินไปหาทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมือง


“พวกข้าต้องการเข้าไปในเมือง” จื่ออวิ๋นพูดออกไปอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย


“ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถผ่านเข้าไปได้ หากพวกเจ้ายอมจ่ายเงิน” ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบกลับมาแบบไม่ใยดีนัก


“พวกข้ามีเงินจ่าย แต่ข้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วยเจ้าจะคิดค่าใช้จ่ายเท่าใดกัน” จื่ออวิ๋นพูดขณะที่หยิบแหวนห้วงมิติออกมา


“หากมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณสักหนึ่งร้อยก้อน ข้าก็คงจะตอบคำถามของเจ้าสักข้อ พร้อมกับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองได้” ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก


“นี่คือศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจงรับไป และตอบคำถามของข้า เมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายใด และผู้ใดปกครองนิกายนี้อยู่” จื่ออวิ๋นโยนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำออกไปหนึ่งก้อน ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองรีบรับมาและเก็บซ่อนเอาไว้ทันที


“เจ้าคงจะเป็นผู้เดินทาง จึงไม่รู้ว่าอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์นี้ไม่มีนิกายใด ๆ ปกครองอยู่ มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกัน เนื่องจากไม่อาจทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ หากถามว่าสิ่งใดปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ข้าคงบอกได้ทันทีว่าคือเงิน หากเจ้ามีศิลาจิตวิญญาณจำนวนมาก เจ้าก็จะได้ปกครองทุกสิ่งในอาณาจักรแห่งนี้” ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบพร้อมกับหัวเราะออกมา


“ข้าต้องการที่พัก เจ้าพอจะมีที่แนะนำบ้างหรือไม่?” เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว จื่ออวิ๋นจึงเริ่มมองหาที่พัก


“มนุษย์เช่นเจ้าคงไม่ต้องการที่พักของอสูรเช่นพวกข้า เช่นนั้นจงไปยังโรงเตี๊ยมเหรินโหย่ว” [人游:คนเดินทาง ใช้คำว่า เหริน ระบุถึงความเป็นมนุษย์] ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบพร้อมกับชี้ไปยังโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไปพร้อมกับมุงหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วทันที


“หากเงินคือสิ่งที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ เนี่ยลี่ก็คิดไม่ผิดที่มอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้แก่พวกเรามาเป็นจำนวนมาก” หนิงเอ๋อพูดกับจื่ออวิ๋นพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข


“ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด เจ้าก็ชื่นชมเขาไปทุกเรื่อง” เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับถอนหายใจ


จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อลองมองดูโดยรอบ พบว่าการที่เมืองนี้อยู่ภายในกำแพงขนาดใหญ่ ก็เพื่อป้องกันความหนาวเหน็บจากพายุหิมะที่อยู่ภายนอก และที่ด้านบนราวกับมีกระจกขนาดใหญ่ ป้องกันฟ้าผ่าเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ในเมืองนี้มีอบอุ่นและปลอยภัยจากสายฟ้าเป็นอย่างมาก


“เชิญแม่นางทั้งสอง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดให้โรงเตี๊ยมเหรินโหย่วรับใช้ขอรับ” พนักงานร้านคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา


“ข้าต้องการห้องพักที่ดีที่สุดพร้อมกับอาหารสำหรับสองคน” จื่ออวิ๋นตอบกลับไป หนิงเอ๋อรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ยังยังบ่นว่าเนี่ยลี่ไม่รู้จักประหยัด แต่นางกลับถามหาห้องพักที่ดีที่สุด


“เชิญแม่นางทั้งสอง ไปที่ห้องหิมะขาว ข้าจะนำทางไปเอง” พนักงานร้านรีบนำทางทั้งสองคนไปห้องพักพิเศษทันที


“ห้องหิมะขาวเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมเรา ค่าพักเพียงแค่วันละหนี่งร้อยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางทั้งสองหรือไม่” พนักงานร้านพูดกับทั้งสองคนอย่างสุภาพ


“นี่คือศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ พวกข้าจะพักที่นี่เป็นเวลาสิบวัน” จื่ออวิ๋นนำศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำออกมาจ่ายเป็นค่าที่พัก พนักงานร้านรีบรับไปทันที มีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนในมืองที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเช่นนี้


หลังจากที่พนักงานร้านออกไป จื่ออวิ๋นก็หันมาพูดกับหนิงเอ๋อทันที เนื่อจากนางสังเกตุว่าหนิงเอ๋อมีท่าทีแปลก ๆ เมื่อนางจ่ายเงินออกไป


“เจ้าคงแปลกใจที่เห็นข้าใช้จ่ายเงินเช่นนี้ เจ้าก็ได้ยินมาพร้อมกับข้าแล้วว่า นิกายแห่งนี้เงินเป็นใหญ่ที่สุด การจ่ายด้วยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ จะทำให้เราเป็นที่สนใจ อาจจะล่อให้พวกศัตรูปรากฏตัวออกมาได้” จื่ออวิ๋นอธิบายสิ่งที่นางทำให้หนิงเอ๋อเข้าใจ


“ขออภัยที่ข้าแอบเข้าใจเจ้าผิด” หนิงเอ๋อก้มหน้าขอโทษ นางไม่คิดว่าจื่ออวิ๋นจะคิดแผนเอาไว้แล้ว


“ไม่จำเป็นต้องขออภัยข้า ในตอนนี้พวกเราอยู่ในดินแดนของศัตรู ที่ข้าเชื่อใจได้ในตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้น” จื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับยื่นมือไปจับมือหนิงเอ๋อ


“ข้าเข้าใจแล้ว” หนิงเอ๋อพยักหน้าตอบรับทันที


หลังจากนั้นพวกนางก็ลงมาทานอาหารที่ด้านล่าง และคอยมองดูคนที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จื่ออว็นสังเกตุได้ว่า ผู้ที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นมนุษย์ และแต่งตัวดีและดูมีฐานะ คนที่แต่งตัวซอมซ่อ จะเดินผ่านไปผ่านมาที่หน้าร้าน และไปยังโรงเตี๊ยมอื่น ๆ แทน


“ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างด้านชนนั้นเป็นอย่างมากในเมืองนี้” จื่ออวิ๋นพูดกับหนิงเอ๋อขณะที่จิบน้ำชาหลังจากทานอาหารเสร็จ


“แต่ปัญหาใหญ่ของพวกเราคือไม่รู้ว่าศัตรูที่แท้จริงนั้นเป็นผู้ใด” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ทั้งสองคนพูดกันเงียบ ๆ อยู่ไม่นานนัก


ทันใดนั้ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะของทั้งสองและพูดขึ้นว่า เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมคาย มีลักษณะเป็นหนุ่มเจ้าชู้ สวมชุดหรูหราราคาแพง


“ข้าไม่เคยพบเห็นแม่นางทั้งสองมาก่อน ข้ามีนามว่าเพี่ยวเลี่ยง ไม่ทราบว่าข้าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?[漂亮:หล่อเหลา]  ชายผู้นั้นเอ่ยถาม โดยที่ไม่รอคำตอบเขานั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างที่ว่างอยู่ทันที


“คุณชายเพี่ยว หากท่านต้องการร่วมโต๊ะกับเรา ท่านจะต้องตอบคำถามของข้าสักสองสามข้อ” เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย เพื่อแสดงความไม่พอใจ ที่เพี่ยวเลี่ยงเสียมารยาท


“เชิญแม่นางเอ่ยถามมาได้เลย” เพี่ยวเลี่ยงตอบกลับพร้อมกับยิ้ม โดยที่ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของจื่ออวิ๋นเลยแม้แต่น้อย


“คุณชายเพี่ยวนั้นมาจากตระกูลใดและร่ำรวยเพียงใดกัน” เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม


“ข้านั้นแซ่ฟู่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสามของอาณาจักรแห่งนี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยง พูดออกไปด้วยความภาคภูมิใจ [:ร่ำรวย]


เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงเอ๋อก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ คนที่ใช้ชื่อแซ่นี้จะต้องเป็นคนที่หลงตัวเองเป็นอย่างมาก [富漂亮: เมื่อรวมชื่อกับแซ่เข้าด้วยกันจะแปลว่า หล่อเหลาและร่ำรวย]


เมืองนี้ชี้วัดกันที่ความร่ำรวย การสอบถามถึงฐานะย่อมไม่ใช่เรื่องที่แปลก ฝ่ายที่ถูกถามถากเป็นคนที่ร่ำรวยจะรู้สึกภูมิใจยิ่งนักที่ได้พูดถึงฐานะของตนเอง


“คำถามข้อที่สอง ตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสามของเมืองเหตุใดจึงไม่สั่งสอนคุณชายเช่นท่านให้รู้จักมารยาท” จื่ออวิ๋นวางถ้วยน้ำชาลงบนไปบนโต๊ะ พร้อมกับพูดออกมาเสียงดัง


ถ้วยน้ำชาของหนิงเอ๋อที่ยังไม่ได้ดื่มกระฉอกขึ้นมา และจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที


คุณชายฟู่เพี่ยวเลี่ยง รู้สึกตกใจยิ่งนัก กับท่าทีของเอียจื่ออวิ๋น เขากลัวจนไม่อาจที่จะลุกหนีไปได้...................จบตอน 



แต่งโดย นายมะพร้าว


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง