ในตอนนี้อีกห้าอาณาจักรที่เหลือคือ
อาณาจักรเทพวายุ อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ อาณาจักรซากทมิฬ อาณาจักรหุบเขาสวรรค์
และอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ
ผู้ที่มีอาวุธพร้อมแล้วก็มีเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ส่วนอาวุธสำหรับตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นก็ใกล้ที่จะทำเสร็จแล้ว
อาวุธของต้วนเจี้ยนก็คงจะต้องเป็นหลังจากนั้น ส่วนอาวุธของ เว่ยหนาน จางหมิง
และซูเซียงจิ้ง ดูเหมือนว่าฮัวเตี่ยก็ใกล้ที่จะทำสำเร็จแล้ว
คนที่พร้อมที่สุดในเวลานี้ก็เป็นเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
เนี่ยลี่จึงตัดสินใจที่จะให้พวกนางเดินทางไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
ที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเสียดฟ้า หลังจากนั้นเนี่ยลี่จึงใช้เส้นทางสวรรค์
สร้างเส้นทางไปยังนิกายเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
เนี่ยลี่ได้ขอพบกับปรมาจารย์อินเยวี่ย
เพื่อขออนุญาตให้เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อเดินทางไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
ซึ่งปรมาจารย์อินเยวี่ยก็ได้อนุญาต และกำชับให้พวกนางดูแลตัวเองให้ดี
“เนี่ยลี่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์เป็นที่เช่นใดกัน?”
เอียจื่ออวิ๋นเอ่ยถามขณะที่เนี่ยลี่กำลังเตรียมที่จะเปิดเส้นทางสวรรค์ขึ้นอีกครั้ง
“อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ที่ข้าเคยรู้จัก
เป็นดินแดนอันหนาวเหน็บที่อยู่บนเทือกเขาเสียดฟ้า หากจะพูดให้เห็นภาพ
ก็คงจะเหมือนกับเมืองกลอรี่ของเราตอนที่พวกอสูรวายุเหมันต์ครอบครองเทือกเขาบรรชนอยู่
เพียงแต่ว่าอาณาจักรแห่งนี้อยู่ใกล้กับท้องฟ้า จึงมีเมฆฝนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีฟ้าฝ่าอยู่บ่อยครั้ง”
เนี่ยลี่พยายามอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
แต่นั่นเป็นอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ในอดีตชาติ
ไม่รู้ว่าในตอนนี้จะแตกต่างจากที่เขารู้จักหรือไม่
“แต่พายุหิมะ และ สายฟ้า
นั้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกเราได้ เจ้าจึงเลือกให้พวกเรามาจัดการสินะ”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ข้อมูลจากข้าอาจจะไม่มีประโยชน์มากนัก
พวกเจ้าอาจจะต้องลองหาข้อมูลเองเมื่อไปถึงที่อาณาจักรแห่งนั้น”
เนี่ยลี่พูดขณะที่เปิดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ
“ต้องการให้ข้าไปส่งที่นั่นหรือไม่?” เนี่ยลี่ยิ้มและถามออกไป
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายสิ่ง
เรื่องนี้เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้ากับหนิงเอ๋อ”
เอียจื่ออวิ๋นพูดออกมาขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในเส้นทางสวรรค์ที่เนี่ยลี่เปิดเอาไว้
“ทั้งสองคน
จงรับสิ่งนี้ไป” เนี่ยลี่โยนแหวนห้วงมิติสองวงให้กับทั้งสองคน
ในนั้นมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำอยู่วงละหนึ่งล้านก้อน
“เหตุใดจึงต้องให้มามากถึงเพียงนี้”
เอียจื่ออวิ๋นบ่นหลังจากที่ตรวจดูข้างไหนแหวน
เนี่ยลี่นั้นไม่รู้จักประหยัดเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นของหมั้นหมาย”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะออกไป
เซี่ยวหนิงเอ๋อกำแหวนที่เนี่ยลี่มอบให้เอาไว้แน่น
ใบหน้าของนางเริ่มมีสีแดง นางจึงรีบวิ่งเข้าไปในเส้นทางสวรรค์ทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋นจึงรีบตามเข้าไป
“ข้าจะมาหาพวกเจ้าทุกเจ็ดวันตรงตำแหน่งที่ส่งพวกเจ้าไปนะ”
เนี่ยลี่ตะโกนออกไปบอกทั้งสองคน เอียจื่ออวิ๋นหันมาพยักหน้าตอบรับก่อนที่เส้นทางสวรรค์จะปิดลงไป
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็กลับไปพักผ่อนที่นิกายพิทัก์สวรรค์
การที่ต้องใช้เส้นทางสวรรค์ถึงสามครั้ง ทำให้เขาใช้พลังสวรรค์ไปจนแทบหมดแรง
เอียจื่ออวิ๋น
และเซี่ยวหนิงเอ๋อ ที่ถูกส่งมายังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ทางออกของเส้นทางสวรรค์อยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมืองเท่าใดนัก
กำแพงเมืองของอาณาจักรแห่งนี้สูงใหญ่
แต่ก็เต็มไปด้วยหิมะ บนท้องฟ้ามีเมฆฝนสีดำดั่งที่เนี่ยลี่บอกเอาไว้
มีฟ้าฝ่าลงมาทุก ๆ ห้านาที นี่คือสิ่งที่ต่างจากเมืองกลอรี่
นอกกำแพงเมืองนี้หนาวเหน็บยิ่งนัก
เอียจื่ออวิ๋นจึงชักชวนเซี่ยวหนิงเอ๋อเข้าไปในเมือง
ทั้งสองจึงเดินไปยังหน้าประตูเมืองพวกนางก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก
ทหารผู้ปกป้องประตูเมืองล้วนแต่เป็นอสูร
“จื่ออวิ๋น
หรือว่าเนี่ยลี่จะส่งพวกเรามายังนิกายอสูร” หนิงเอ๋อหันไปถามจื่ออวิ๋นด้วยความตกใจ
“เนี่ยลี่ไม่ใช่คนที่จะทำผิดพลาดเช่นนั้น
ถึงอย่างไรระดับพลังของพวกเราก็อยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
หากนี่เป็นนิกายอสูรจริง พวกเราก็สามารถจัดการได้” จื่ออวิ๋นตอบกลับไป
และเดินไปหาทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมือง
“พวกข้าต้องการเข้าไปในเมือง”
จื่ออวิ๋นพูดออกไปอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถผ่านเข้าไปได้
หากพวกเจ้ายอมจ่ายเงิน” ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบกลับมาแบบไม่ใยดีนัก
“พวกข้ามีเงินจ่าย
แต่ข้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วยเจ้าจะคิดค่าใช้จ่ายเท่าใดกัน”
จื่ออวิ๋นพูดขณะที่หยิบแหวนห้วงมิติออกมา
“หากมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณสักหนึ่งร้อยก้อน
ข้าก็คงจะตอบคำถามของเจ้าสักข้อ พร้อมกับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองได้”
ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“นี่คือศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจงรับไป
และตอบคำถามของข้า เมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายใด และผู้ใดปกครองนิกายนี้อยู่”
จื่ออวิ๋นโยนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำออกไปหนึ่งก้อน
ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองรีบรับมาและเก็บซ่อนเอาไว้ทันที
“เจ้าคงจะเป็นผู้เดินทาง
จึงไม่รู้ว่าอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์นี้ไม่มีนิกายใด ๆ ปกครองอยู่
มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกัน เนื่องจากไม่อาจทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้
หากถามว่าสิ่งใดปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ข้าคงบอกได้ทันทีว่าคือเงิน
หากเจ้ามีศิลาจิตวิญญาณจำนวนมาก เจ้าก็จะได้ปกครองทุกสิ่งในอาณาจักรแห่งนี้”
ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ข้าต้องการที่พัก
เจ้าพอจะมีที่แนะนำบ้างหรือไม่?”
เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว จื่ออวิ๋นจึงเริ่มมองหาที่พัก
“มนุษย์เช่นเจ้าคงไม่ต้องการที่พักของอสูรเช่นพวกข้า
เช่นนั้นจงไปยังโรงเตี๊ยมเหรินโหย่ว” [人游:คนเดินทาง ใช้คำว่า เหริน ระบุถึงความเป็นมนุษย์] ทหารอสูรผู้ดูแลประตูเมืองตอบพร้อมกับชี้ไปยังโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
เอียจื่ออวิ๋นพูดออกไปพร้อมกับมุงหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเหรินโหย่วทันที
“หากเงินคือสิ่งที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้
เนี่ยลี่ก็คิดไม่ผิดที่มอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้แก่พวกเรามาเป็นจำนวนมาก” หนิงเอ๋อพูดกับจื่ออวิ๋นพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
“ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด
เจ้าก็ชื่นชมเขาไปทุกเรื่อง” เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับถอนหายใจ
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อลองมองดูโดยรอบ
พบว่าการที่เมืองนี้อยู่ภายในกำแพงขนาดใหญ่
ก็เพื่อป้องกันความหนาวเหน็บจากพายุหิมะที่อยู่ภายนอก และที่ด้านบนราวกับมีกระจกขนาดใหญ่
ป้องกันฟ้าผ่าเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ทำให้ในเมืองนี้มีอบอุ่นและปลอยภัยจากสายฟ้าเป็นอย่างมาก
“เชิญแม่นางทั้งสอง
ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดให้โรงเตี๊ยมเหรินโหย่วรับใช้ขอรับ” พนักงานร้านคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา
“ข้าต้องการห้องพักที่ดีที่สุดพร้อมกับอาหารสำหรับสองคน”
จื่ออวิ๋นตอบกลับไป หนิงเอ๋อรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ยังยังบ่นว่าเนี่ยลี่ไม่รู้จักประหยัด
แต่นางกลับถามหาห้องพักที่ดีที่สุด
“เชิญแม่นางทั้งสอง
ไปที่ห้องหิมะขาว ข้าจะนำทางไปเอง”
พนักงานร้านรีบนำทางทั้งสองคนไปห้องพักพิเศษทันที
“ห้องหิมะขาวเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมเรา
ค่าพักเพียงแค่วันละหนี่งร้อยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้น
ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางทั้งสองหรือไม่” พนักงานร้านพูดกับทั้งสองคนอย่างสุภาพ
“นี่คือศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
พวกข้าจะพักที่นี่เป็นเวลาสิบวัน”
จื่ออวิ๋นนำศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำออกมาจ่ายเป็นค่าที่พัก
พนักงานร้านรีบรับไปทันที
มีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนในมืองที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำเช่นนี้
หลังจากที่พนักงานร้านออกไป
จื่ออวิ๋นก็หันมาพูดกับหนิงเอ๋อทันที เนื่อจากนางสังเกตุว่าหนิงเอ๋อมีท่าทีแปลก ๆ
เมื่อนางจ่ายเงินออกไป
“เจ้าคงแปลกใจที่เห็นข้าใช้จ่ายเงินเช่นนี้
เจ้าก็ได้ยินมาพร้อมกับข้าแล้วว่า นิกายแห่งนี้เงินเป็นใหญ่ที่สุด
การจ่ายด้วยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ จะทำให้เราเป็นที่สนใจ
อาจจะล่อให้พวกศัตรูปรากฏตัวออกมาได้”
จื่ออวิ๋นอธิบายสิ่งที่นางทำให้หนิงเอ๋อเข้าใจ
“ขออภัยที่ข้าแอบเข้าใจเจ้าผิด”
หนิงเอ๋อก้มหน้าขอโทษ นางไม่คิดว่าจื่ออวิ๋นจะคิดแผนเอาไว้แล้ว
“ไม่จำเป็นต้องขออภัยข้า
ในตอนนี้พวกเราอยู่ในดินแดนของศัตรู ที่ข้าเชื่อใจได้ในตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้น”
จื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับยื่นมือไปจับมือหนิงเอ๋อ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หนิงเอ๋อพยักหน้าตอบรับทันที
หลังจากนั้นพวกนางก็ลงมาทานอาหารที่ด้านล่าง
และคอยมองดูคนที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จื่ออว็นสังเกตุได้ว่า
ผู้ที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นมนุษย์ และแต่งตัวดีและดูมีฐานะ
คนที่แต่งตัวซอมซ่อ จะเดินผ่านไปผ่านมาที่หน้าร้าน และไปยังโรงเตี๊ยมอื่น ๆ แทน
“ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างด้านชนนั้นเป็นอย่างมากในเมืองนี้”
จื่ออวิ๋นพูดกับหนิงเอ๋อขณะที่จิบน้ำชาหลังจากทานอาหารเสร็จ
“แต่ปัญหาใหญ่ของพวกเราคือไม่รู้ว่าศัตรูที่แท้จริงนั้นเป็นผู้ใด”
หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ทั้งสองคนพูดกันเงียบ ๆ อยู่ไม่นานนัก
ทันใดนั้ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะของทั้งสองและพูดขึ้นว่า
เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมคาย มีลักษณะเป็นหนุ่มเจ้าชู้ สวมชุดหรูหราราคาแพง
“ข้าไม่เคยพบเห็นแม่นางทั้งสองมาก่อน
ข้ามีนามว่าเพี่ยวเลี่ยง ไม่ทราบว่าข้าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?” [漂亮:หล่อเหลา] ชายผู้นั้นเอ่ยถาม
โดยที่ไม่รอคำตอบเขานั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างที่ว่างอยู่ทันที
“คุณชายเพี่ยว
หากท่านต้องการร่วมโต๊ะกับเรา ท่านจะต้องตอบคำถามของข้าสักสองสามข้อ”
เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย เพื่อแสดงความไม่พอใจ ที่เพี่ยวเลี่ยงเสียมารยาท
“เชิญแม่นางเอ่ยถามมาได้เลย”
เพี่ยวเลี่ยงตอบกลับพร้อมกับยิ้ม
โดยที่ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของจื่ออวิ๋นเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายเพี่ยวนั้นมาจากตระกูลใดและร่ำรวยเพียงใดกัน”
เอียจื่ออวิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม
“ข้านั้นแซ่ฟู่
เป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสามของอาณาจักรแห่งนี้” ฟู่เพี่ยวเลี่ยง
พูดออกไปด้วยความภาคภูมิใจ [富:ร่ำรวย]
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงเอ๋อก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
คนที่ใช้ชื่อแซ่นี้จะต้องเป็นคนที่หลงตัวเองเป็นอย่างมาก [富漂亮: เมื่อรวมชื่อกับแซ่เข้าด้วยกันจะแปลว่า
หล่อเหลาและร่ำรวย]
เมืองนี้ชี้วัดกันที่ความร่ำรวย
การสอบถามถึงฐานะย่อมไม่ใช่เรื่องที่แปลก
ฝ่ายที่ถูกถามถากเป็นคนที่ร่ำรวยจะรู้สึกภูมิใจยิ่งนักที่ได้พูดถึงฐานะของตนเอง
“คำถามข้อที่สอง
ตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสามของเมืองเหตุใดจึงไม่สั่งสอนคุณชายเช่นท่านให้รู้จักมารยาท”
จื่ออวิ๋นวางถ้วยน้ำชาลงบนไปบนโต๊ะ พร้อมกับพูดออกมาเสียงดัง
ถ้วยน้ำชาของหนิงเอ๋อที่ยังไม่ได้ดื่มกระฉอกขึ้นมา
และจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที
คุณชายฟู่เพี่ยวเลี่ยง
รู้สึกตกใจยิ่งนัก กับท่าทีของเอียจื่ออวิ๋น
เขากลัวจนไม่อาจที่จะลุกหนีไปได้...................จบตอน