ทางด้านกู้เบ่ยที่เดินทางไปยังอาณาจักรธาราสวรรค์นั้น
ได้บพว่า นิกายธาราสวรรค์นั้นอยู่ในหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นน้ำตกขนาดใหญ่
ราวกับว่าเป็นน้ำตกที่ร่วงหล่นมาจากสวรรค์จริง ๆ
ซึ่งน้ำตกแห่งนี้เป็นดั่งน้ำตกที่กั้นอยู่ระหว่างนิกายอสูร
และนิกายของมนุษย์ ซึ่งได้มีข้อตกลงร่วมกันว่า โดยรอบบริเวณน้ำตก
ห้ามมิให้มีการต่อสู้กันอย่างเด็ดขาด หากฝ่ายใดฝ่าฝืน จะถูกสังหารทันที
นิกายของมนุษย์มีชื่อว่า
นิกายสายธารสวรรค์ ส่วนนิกายของอสูรชื่อว่านิกายแม่น้ำอสูร แม้ว่าจะต้องใช้สายน้ำร่วมกัน
แต่นิกายทั้งสองแทบไม่มีความขัดแย้งกันเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้กู้เบ่ยประหลาดใจไม่น้อย
ในบางครั้งโดยรอบของน้ำตกก็มีการนำของวิเศษมาซื้อขายกันโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรืออสูร
เรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรที่สงบสุขยิ่งนัก
กู้เบ่ยรู้สึกแปลกใจ
อาณาจักรที่สงบสุขแห่งนี้ จะมีเหล่าผู้บูชาบริวารแห่งเทพอยู่เช่นนั้นหรือ
จากนั้นเขาก็พยายามที่จะสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ จากทั้งทางมนุษย์และอสูร
ซึ่งกู้เบ่ยก็ได้รับรู้เรื่องราวจากทั้งสองฝ่ายด้วยความยินดี
เดิมทีอาณาจักรแห่งนี้แห้งแล้งยิ่งนัก
มนุษย์และอสูรต่างรบราฆ่าฟันกันเพื่อเสาะหาแหล่งน้ำ
จนวันหนึ่งน้ำตกแห่งนี้มีน้ำไหลลงมา อาณาจักรแห่งนี้ก็กลายเป็นอาณาจักรที่ชุ่มชื่น
และมีพืชพรรณงอกงามเต็มไปหมด
หลังจากนั้นนิกายทั้งสองต่างก็พยายามที่จะยึดครองน้ำตกนี้ มีการรบรากันนานนับปี
จนสุดท้ายประมุขของทั้งสองนิกายได้มาทำข้อตกลงสงบศึก ทำให้สงครามจบลง
ในตอนแรกก็มีความหวาดระแวงกันบ้าง แต่เกือบร้อยปีที่ผ่านมา
ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำตามข้อตกลงเป็นอย่างดี
ที่นี่จึงกลายเป็นดินแดนที่สงบศึกที่ มนุษย์และอสูรสามารถอยู่ร่วมกันได้ราวกับเป็นมิตรสหาย
เมื่อกู้เบ่ยลองพูดถึงบริวารแห่งเทพ
ผู้คนต่างส่ายหน้า ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อบริวารแห่งเทพมาก่อน
กู้เบ่ยรับรู้ได้ว่าพวกเขานั้นมิได้โกหก จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
กู้เบ่ยคิดว่าศัตรูอาจจะแอบแฝงอยู่ที่ใดสักแห่งในอาณาจักรแห่งนี้
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงรับมือได้ยากลำบากเป็นแน่
นั่นหมายความว่าฝ่านศัตรูอาจจะนำเรื่องที่เขาพยายามสอมถามข้อมูลไปแจ้งกับบริวารแห่งเทพเมื่อไหร่ก็ได้
เขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดสอบถามจากผู้คน
กู้เบ่ยรู้สึกสงสัยน้ำตกแห่งนี้เป็นอย่างมาก
เป็นไปไม่ได้ที่จู่ ๆ จะมีน้ำตกร่วงหล่นลงมานับร้อยปี
ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ เขาจึงทะยานขึ้นไปเพื่อตรวจสอบน้ำตกด้านบน
น้ำตกด้านบนนี้อยู่เหนือพื้นดินหลายพันเมตร
เมื่อมองออกไปจะพบว่า เป็นลำธารที่ทอดยาวมาและมาตรงน้ำตรงคือส่วนปลายสุดของแม่น้ำ
“ถ้าเช่นนั้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้
จะต้องมีความลับบางอย่างอยู่เป็นแน่” กู้เบ่ยพูดกับตัวเอง
จากนั้นก็ทะยานออกไปตามเส้นทางของแม่น้ำนี้
กู้เบยทะยานออกไปราวสองชั่วยามก็ได้มาถึงต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้
เขาจ้องมองด้วยความประหลาดใจ
ต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้คือทะเลสาบแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก และดูเหมือนว่าจะไม่มีแม่น้ำสายใดที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบแห่งนี้เลย
เช่นนั้นก็หมายความว่าทะเลสาบแห่งนี้เป็นต้นน้ำอย่างแท้จริง
“ผู้ใดกันที่กล้ามารุกล้ำทะเลสาบของข้า”
มีอสูรตนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในกลางทะเลสาบ มีลักษณะราวกับงูขนาดใหญ่
แต่ก็มีมือที่ดูเหมือนมนุษย์ แต่ที่ด้านหลังของมันมีลักษณะราวกับเป็นน้ำพุที่มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา
“ข้าคือสุ่ยเสอ
ผู้ครอบครองทะเลสาบแห่งนี้ เจ้าเป็นใครกัน” [水蛇:อสรพิษต้นน้ำ]
อสูรตนนั้นเอ่ยถาม
“ข้าคือเทพกระบี่กู้เบ่ย
ข้านั้นแค่สงสัยว่าน้ำตกในอาณาจักรธาราสวรรค์นั้นมาจากที่ใด
จึงได้มาถึงทะเลสาบแห่งนี้ หาได้ตั้งใจมารุกล้ำทะเลสาบของเจ้าไม่”
กู้เบ่ยตอบกลับไป
สุ่ยเสอนั้นไม่ได้มีท่าทางที่จะทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
นั่นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
หรือว่าอาณาจักรแห่งนี้จะไม่มีผู้นับถือบริวารแห่งเทพอยู่จริง ๆ
“เจ้าหมายถึงอาณาจักรที่อยู่เบื้องล่างนี้สินะ
เมื่อราวร้อยปีก่อนเป็นเพียงอาณาจักรที่แห้งแล้ง
หลังจากที่ข้าได้มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ข้าจึงแบ่งปันน้ำในทะเลสาบแก่พวกเขา
เพราะข้าเบื่อหน่ายที่ต้องได้ยินเสียงคนเหล่านั้นต่อสู้กัน” สุ่ยเสอพูดขณะที่ชูคอด้วยความภูมิใจ
“เดิมทีเจ้านั้นมาจากที่ใดกัน?” กู้เบ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าเป็นบุตรของบริวารแห่งเทพ
บิดาข้าบอกว่า ยามที่ข้าบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า บิดาข้าจะเดินทางมารับข้า” สุ่ยเสอตอบกลับอย่างไม่สนใจใยดีนัก ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดนัดหมายที่บิดาของเขาได้แจ้งเอาไว้
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็มีกระจกข้ามภพ”
กู้เบ่ยถามพร้อมกับนำกระบี่มาถือไว้ในมือ
“กระจกสำหรับติดต่อบิดาข้า
แน่นอนว่าข้าต้องมีอยู่แล้ว” สุ่ยเสอหยิบกระจกข้ามภพออกมาให้กู้เบ่ยดู
“ข้าต้องการของสิ่งนั้น”
กู้เบ่ยชักกระบี่ออกจากฝักและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เจ้าคิดจะสู้กับข้า
คิดดีแล้วเช่นนั้นหรือ” สุ่ยเสอพูดพร้อมน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมกับปลดปล่อยลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมา
“ลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ดูเหมือนว่าเรื่องที่เป็นบุตรของบริวารแห่งเทพจะไม่ใช่เรืองโกหกสินะ”
กู้เบ่ยพูดพร้อมกับปลดปล่อยลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมาเช่นกัน
“กระบี่ร้อยวิญญาณบรรพชน!”
กู้เบ่ยใช้เจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนผสานเข้ากับกระบี่ธาราสวรรค์และแทงกระบี่ไปด้านหน้า
คลื่นลมปราณที่พุ่งออกไปพร้อมกับเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชน การแทงกระบี่หนึ่งครั้ง
จะเทียบเท่ากับการแทงกระบี่ออกไปหนึ่งร้อยครั้ง
“มีความสามารถเพียงเท่านี้เองรึ?” สุ่ยเสอฟาดหางลงในทะเลสาบ
ทำให้เกิดม่านน้ำขึ้นมาป้องกันกระบี่ร้อยวิญญาณบรรพชนของกู้เบ่ยเอาไว้
“กระบี่แหวกสมุทร!” กู้เบ่ยตวัดกระบี่ตัดม่านน้ำออกเป็นสองส่วนทันที
และใช้ปลายกระบี่ตวัดแย่งเอากระจกข้ามภพที่อยู่ในมือของสุ่ยเสอมาได้
“จงคืนของสิ่งนั้นมาให้ข้า
หาไม่แล้วข้าจะหยุดปล่อยน้ำลงในทะเลสาบแห่งนี้
และอาณาจักรเบื้องล่างจะเข้าสู่กลียุคอีกครั้ง” สุ่ยเสอพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
ที่ถูกกู้เบ่ยแย่งกระจกข้ามภพไป
“ข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับเจ้าอีก”
กู้เบ่ยที่สามารถแย่งกระจกข้ามภพมาได้ ก็กระโดดถอยออกมา
“เจ้าไม่ฟังที่ข้าพูดก็จงดูซะ!” สุ่ยเสอสูบน้ำในทะเลสาบออกจนหมด
ทำให้น้ำที่ไหลออกไปยังแม้น้ำเหือดแห้งไปในทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้นกู้เบ่ยก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก
หากไม่มีน้ำตกสงครามที่สงบไปแล้วจะต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง
และหากเกิดขึ้นมาอีกแม้จะต้องใช้เวลานับร้อยปี ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะสงบเช่นทุกวันนี้
“กระบี่ธาราสวรรค์!” กู้เบ่ยตัดสิ่นใจพุ่งกระบี่ลงไปที่แม่น้ำที่กำลังจะเหือดแห้งและใช้ลมปราณทำให้กระบี่ธาราสวรรค์สร้างน้ำออกมา
เพื่อไม่ให้น้ำตกหยุดไหล
“ไม่คิดเลยว่าจะมีอาวุธวิเศษที่สามารถสร้างน้ำได้เช่นนี้
แต่น้ำทุกหยดที่สร้างขึ้นมาต้องแลกไปด้วยลมปราณของเจ้า เจ้าจะทนได้นานสักเท่าใดกัน
ฮ่าฮ่าฮ่า” สุ่ยเสอหัวเราะด้วยความสะใจเมื่อเห็นกู้เบ่ยทำเช่นนั้น
“เจตจำนงแห่งกระบี่บรรชน!” กู้เบ่ยใช้ลมปราณสร้างเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนขึ้นมา
ในตอนนี้เขาไม่อาจใช้กระบี่ธาราสวรรค์ในการต่อสู้ได้ ก็เหลือเพียงเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนเท่านั้น
กู้เบ่ยหยิบเศษไม้แท่งหนึ่งขึ้นมาและใช้ลมปราณเขียนเป็นจดหมายขึ้นมา
โดยใช้แท่งไม้นั้น และปล่อยให้ไหลลงไปเบื้องล่าง
หากโชคดีมีคนเก็บได้และนำไปส่งที่นิกายพิทักษ์สวรรค์ แห่งนิกายกำแพงสวรรค์ เขาก็จะได้ชัยชนะอย่างแท้จริง
“การต่อสู้ครั้งนี้คงจะยืดเยื้อเป็นแน่”กู้เบ่ยควบคุมเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนพุ่งไปโจมตีสุ่ยเสอทันที สุ่ยเสอใช้หางของเขาต้านรับกระบี่เอาไว้ หางของสุ่ยเสอนั้นเต็มไปด้วยเกล็ดที่แข็งแกร่ง
ส่วนคลีบตรงปลายหางนั้นมีความคมไม่ต่างจากกระบี่เช่นกัน
การต่อสู้ยิ่งผ่านไปนานเท่าใด
ลมปราณของกู้เบ่ยก็ยิ่งลดน้อยลง
เนื่องจากต้องใช้ลมปราณในการสร้างน้ำลงไปเบื้องล่าง
ทำให้กู้เบ่ยถึงกับเหนื่อยหอบเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้กู้เบ่ยต่อสู้ไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว
เศษไม้ของกู้เบ่ยนั้นร่วงหล่นลงไปยังอาณาจักรเบื้องล่างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ที่สังเกตุเห็น
กู้เบ่ยตัดสินใจถือเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนเข้าโจมตีสุ่ยเสอ
เนื่องจากการใช้ลมปราณควบคุมนั้นสิ้นเปลืองพลังเป็นอย่างมาก
แต่ดูเหมือนว่าสุ่ยเสอต้องการให้กู้เบ่ยทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
ทันทีที่กู้เบ่ยกระโจนเข้าไปประชิดตัว สุ่ยเสอ ก็ใช้ปากงับและกลินกินกู้เบ่ยลงไปในท้องทันที
“หลังจากย่อยเจ้าจนหมดแล้ว
ข้าก็จะขับถ่ายกระจกข้ามภพออกมาในภายหลัง” สุ่ยเสอหัวเราะกับชัยชนะที่ได้รับ
กู้เบ่ยที่ถูกกลืนลงท้องของสุ่ยเสอนั้น
ทำให้เจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนนั้นสลายไป
แต่ร่างกายของกู้เบ่ยยังคงได้รับการปกป้องจากเกราะธาราสวรรค์ แม้ว่าจะอยู่ในท้องของสุ่ยเสอ
กระบี่ธาราสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกก็ยังคงปล่อยน้ำออกมา
ทำให้สุ่ยเสออดที่จะแปลกใจไม่ได้
และการที่ยังย่อยร่างของกู้เบ่ยไม่หมด
จึงทำให้สุ่ยเสอไม่อาจเคลื่อนที่ไหนไหนได้ดั่งใจ ลมปราณของกู้เบ่ยนั้นค่อย ๆ
เหือดแห้งไปเรื่อย ๆ
กู้เบ่ยอยู่ในท้องของสุ่ยเสอเป็นเวลาสองวันจึงได้สติ
เขาพบว่าร่างกายของเขายังไม่ถูกย่อยสลายไปเนื่องจากได้รับการปกป้องจากเกราะธาราสวรรค์
กู้เบ่ยจึงเริ่มแผ่ลมปราณไปโดยรอบเกราะธาราสวรรค์
ทันใดนั้นเกราะธาราสวรรค์ก็ปลดปล่อยลมปราณอันแข็งแกร่งออกมาให้กู้เบ่ยได้ดูดซับ
แม้จะเหลือลมปราณเพียงน้อยนิดเกราะธาราสวรรค์ก็สามารถปลดปล่อยลมปราณออกมาได้ดั่งน้ำบ่อน้อย
ที่ไม่มีวันเหือดแห้ง กู้เบ่ยรับรู้ได้ถึงคุณสมบัติพิเศษข้อนี้ของเกราะธาราสวรรค์แล้ว
เมื่อกู้เบ่ยสามารถดูดซับลมปราณกลับคืนไปได้
ด้านนอกสุ่ยเสอกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากลมปราณที่แผ่ออกมาจากเกราะธาราสวรรค์นั้น
ทำให้ร่างกายของสุ่ยเสอพองขึ้นจนแทบจะระเบิดออก
กู้เบ่ยจึงรวบรวมลมปราณสร้างเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนขึ้นมาอีกครั้ง
และใช้ทะลวงท้องของสุ่ยเสอออกมา
“อ๊ากกกก” สุ่ยเสอร้องด้วยความเจ็บปวด
“เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่ได้?” สุ่ยเสอตะโกนถามออกไป
“หามีชีวิตอยู่เพื่อสังหารเจ้าไงเล่า
เจ้าอสูรชั่ว” กู้เบ่ยกระโดดหมุนตัวตวัดเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชน
ดัดที่หัวของสุ่ยเสอทันที
สุ่ยเสอที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่อาจปลดปล่อยพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมาได้อย่างเต็มที่
จึงไม่อาจป้องกันเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชนเอาไว้ได้
กู้เบ่ยไปนั่งอยู่กลางทะเลสาบและใช้ลมปราณดึงกระบี่ธาราสวรรค์กลับมา
และปักลงใกล้ ๆ กับที่เขานั่งอยู่ และใช้ลมปราณสร้างน้ำให้ไหลออกไปเช่นเดิม
กู้เบ่ยนั่งอยู่ในบ่อน้ำและดูดซับพลังจากน้ำนั้น
พร้อมกับสร้างน้ำออกไป ทำให้มีพลังหมุนเวียนเรียกได้ว่าสามารถอยู่เช่นนี้ได้เป็นนิรันดิ์
แต่เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ยาวนานถึงเพียงนั้น
หลายวันต่อมา มีชาวเมืองพบเศษไม้ที่กู้เบ่ยส่งมาอยู่ที่ปลายน้ำ
พบว่ามีถ้อยกำแกะสลักบนแผ่นไม้เอาไว้ว่า
นิกายพิทักษ์สวรรค์ และอีกด้านหนึ่งแกะสลักคำว่า ตาน้ำ จึงได้มีคนนำไปส่งให้แก่นิกายพิทักษ์สวรรค์
หลังจากที่หลี่ชิงอวิ๋นได้รับข้อความจากกู้เบ่ย จึงรีบแจ้งให้กับเนี่ยลี่ทราบ
เนี่ยลี่จึงรีบเดินทางมาหากู้เบ่ยทันที.........จบตอน