หลังจากกลับเข้ามาในเมือง
เหล่ากองกำลังของนิกายเทพสมุทรยังคงต่อต้านลู่เพียวอยู่
เซี่ยวซุ่ยปาหอกเทพสมุทรไปปักที่พื้นเบื้องหน้ากองกำลังเหล่านี้และพูดออกไปว่า
“ประมุขหงไห่ได้ถูกสังหารไปแล้ว
หากพวกเจ้ายังคิดจะต่อต้าน พวกข้าก็จะไม่ยั้งมือ”
เมื่อได้เห็นหอกเทพสมุทร
เหล่ากองกำลังต่างก็รู้สึกตกใจ การที่อาวุธของประมุขหงไห่ อยู่ที่พวกเขา
หากไม่ถูกสังหารไปแล้ว ก็ต้องปราชัยในการต่อสู้แล้วเป็นแน่
“เหตุใดพวกเจ้าจึงมารุกรานนิกายเทพสมุทรเช่นนี้
พวกเราอยู่กันอย่างสงบไม่เคยรุกรานผู้ใด
ศัตรูของเรามีเพียงนิกายเทพวิญญาณเท่านั้น” หัวหน้ากองกำลังผู้หนึ่งตะโกนถาม
“นิกายเทพวิญญาณไม่เคยมีอยู่จริง
วิญญาณเหล่านั้นแค่เพียงต้องการไปสู่สรวงสวรรค์ แต่ถูกพวกเจ้าขัดขวาง”
ลู่เพียวแย้งกลับไป
“ประมุขหงไห่นั้นได้รับชี้แนะจากบริวารแห่งเทพ
ท่านไม่มีทางโกหกพวกเรา” หัวหน้ากองกำลังคนเดิมตะโกนกลับมา
“บริวารแห่งเทพเช่นนั้นรึ?
เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวจริงของบริวารแห่งเทพที่พวกเจ้านับถือคือสิ่งใด”
ลู่เพียวพูดพร้อมกับกระโดดไปที่เบื้องหน้าของรูปปั้นและใช้ง้าวเทพนักรบสวรรค์ฟันไปที่ส่วนหัวของรูปปั้น
ที่เป็นรูปชายภายใต้ผ้าคลุม
การกวัดแกว่งง้าวเทพนักรบสวรรค์ของลู่เพียว
แกะสลักส่วนหัวของรูปปั้นใหม่ กลายเป็นหัวของอสูรที่น่าเกลียดน่ากลัว
“นี่คือตัวจริงของบริวารแห่งเทพ
พวกมันเป็นอสูร และเป็นผู้รับใช้ของจักรพรรดิปราชญ์
ผู้ที่หมายจะทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้” ลู่เพียวม้วนตัวอีกครั้งและไปยืนอยู่บนหัวของรูปปั้นและตะโกนออกไป
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เพียว
ทุกคนต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
แม้แต่ยอดฝีมือที่มีความใกล้ชิดกับประมุขหงไห่ก็ไม่มีผู้ใดที่ทราบในเรื่องนี้มาก่อน
และคำพูดของลู่เพียวนั้นก็ดูจริงจังเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องโกหก
“หากพวกเจ้าไม่เชื่อคำพูดของพวกเรา
ก็จงเปิดเส้นทางให้พวกวิญญาณข้ามมายังเกาะแห่งนี้
แล้วพวกเราจะได้รู้ความจริงไปพร้อมกัน” เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป
นางยืนอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
และใช้กระบี่หยกคร่าวิญญาณทำลายบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไป
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยวซุ่ย
หัวหน้ากองกำลังจึงสั่งให้กองกำลังที่ปกป้องไม่ให้เส้นทางที่เหล่าวิญญาณข้ามมาถอนกำลัง
และเปิดเส้นทางออก ไม่ให้มีผู้ใดขัดขวางวิญญาณเหล่านั้น พวกเขาเฝ้ามองดูด้วยความหวาดหวั่น
ในตอนนี้ไร้ซึ่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่วิญญาณพวกนั้นได้
หลังจากนั้นวิญญาณจากอีกเกาะก็ค่อย
ๆ ล่องลอยมาอยู่ตรงหน้ารูปปั้น วิญญาณเหล่านั้นจ้องมองไปที่รูปปั้น
แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอันใดอีก
“รูปปั้นนั้นขวางเส้นทางทางสู่สรวงสวรรค์ของวิญญาณเหล่านั้น”
ไหไห่ตะโกนบอกกับลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ย
ลู่เพียวยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขาใช้ ด้ามง้าวเทพนักรบสวรรค์กระแทกลงไปที่หัวของรูปปั้น
จากนั้นรูปปั้นก็ค่อยสลายออกไปเป็นผุยผง
จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นมาอยู่ต่อหน้าวิญญาณเหล่านั้น
ใบหน้าของวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนไป
จากใบหน้าที่เศร้าสร้อยกลายเป็นยิ้มด้วยความยินดี
เซี่ยวซุ่ยนำผีผาคร่าวิญญาณออกมา
และเริ่มบรรเลงท่วงทำนองบทเพลงสู่สรวงสวรรค์
ร่างวิญญาณเหล่านั้นเริ่มเปร่งประกายออกมา และค่อย ๆ
แยกสลายกลายเป็นหิ่งห้อยล่องลอยขึ้นไปเบื้องบน
ชาวเมืองและเหล่ากองกำลังต่างมองดูด้วยความอัศจรรย์ใจ
บทเพลงที่เซี่ยวซุ่ยบรรเลงนั้นก็ฟังดูอบอุ่น และเคลิบเคลิ้ม
จนทำให้พวกเขาตัวเบาราวกับว่าจะล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ต่างจากวิญญาณเหล่านั้น
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ” ทั้งสองคนราวกับว่าได้ยินเสียงของ
วิญญาณเหล่านั้นขณะที่กำลังล่องลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ทุกคำขอบคุณที่มาจากใจของวิญญาณเหล่านั้นอย่างแท้จริง
มีวิญญาณอีกสองดวงล่องลอยมาเบื้องหน้าของเซี่ยวซุ่ยและลู่เพียว
ในมือของพวกเขามีดวงจิตสองดวง ทันทีที่ไหไห่ได้เห็นดวงวิญญาณทั้งสองก็ร้องไห้ออกมา
“ท่านพ่อ ท่านปู่”
ดวงวิญญาณทั้งสองหันมายิ้มให้กับไหไห่ แต่ก็มิได้พูดอันใดออกมา
วิญญาณทั้งสองยื่นดวงดวงจิตให้แก่เซี่ยวซุ่ย และลู่เพียว
ราวกับขอให้ทั้งสองคนรับดวงจิตนี้ไว้ เซี่ยวซุ่ยและลู่เพียวเอื้อมมือไปรับ
หลังจากนั้นวิญญาณทั้งลองก็ล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ตามดวงวิญญาณอื่น ๆ ไป
“ดวงจิตเทพวิญญาณ”
เซี่ยวซุ่ยพูดขึ้นมาขณะที่มองดูดวงจิตในมือ
“ของข้าเป็นดวงจิตเทพสมุทร”
ลู่เพียวพูดขณะที่หันไปมองวิญญาณเหล่านั้น
เดิมทีดวงจิตทั้งสองถูกซุกซ่อนไว้ในเขาวงกตใต้เกาะนี้
วิญญาณเหล่านี้นำออกมาเพื่อขอบคุณทั้งสอง
ดวงจิตเทพวิญญาณสามารถควบคุมวิญญาณที่ไร้รูปลักษณ์ได้ดั่งใจ
ส่วนดวงจิตเทพสมุทรนั้นเป็นเทพผู้ควบคุมพายุและห้วงสมุทรทุกแห่งบนโลกนี้
ซึ่งสามารถเกื้อหนุนพลังแห่งวายุให้กับลู่เพียว และยังเพิ่มความสามารถในการควบคุมมหาสมุทรให้แก่ลู่เพียวอีกด้วย
เมื่อทั้งสองคนผสานเข้ากับดวงจิตแห่งเทพที่ได้รับมา
ระดับพลังของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นจนบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองในทันที
“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่
ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง” ลู่เพียวหันไปพูดกับหัวหน้ากองกำลัง
“พวกข้าเห็นแล้ว
จากนี้ไปท่านจะให้พวกข้าทำเช่นใด” หัวหน้ากองกำลังเริ่มพูดกับลู่เพียวอย่างสุภาพ
“ในนามของนักรบสวรรค์ลู่เพียว
ข้าจะคืนเกาะแห่งนี้ให้แก่เหล่าวิญญาณ” ลู่เพียวตะโกนออกไป
ด้วยเสียงที่ดังไปทั่วทั้งเกาะ
“ท่านนักรบสวรรค์
หากท่านทำเช่นนั้นพวกเราจะทำอันใดกัน เรือสำเภาที่มาค้าขายก็ลอยลำกลับไปแล้ว
หากมิใช่ยอดฝีมือระดับเทพสงครามการที่จะออกจากเกาะนี้ไป
เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้” หัวหน้ากองกำลังแย้งกลับไป สำหรับตัวเขานั้นการออกจากเกาะนั้นสามารถทำได้
แต่ชาวเมืองและทหารในกองกำลังที่มีระดับพลังไม่สูงนัก
ต้องอาศัยเรือในการออกจากเกาะเท่านั้น
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล
อีกครึ่งเดือนข้างหน้า สหายข้าจะเดินทางมาที่เกาะแห่งนี้
เขาสามารถสร้างเส้นทางพาทุกคนออกไปจากเกาะนี้ได้ ให้พวกเจ้าเตรียมการเอาไว้ก็พอ”
ลู่เพียวส่ายศีรษะและตอบกลับไป
“ในยามนี้ให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติ
สมบัติและอาหารที่อยู่ในนิกายเทพสมุทรจงนำมาแจกจ่ายให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม
หลังจากที่ย้ายออกไปจากเกาะข้าจะทำลายสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้ เพื่อที่จะได้เป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าวิญญาณ”
เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป ตอนที่นางลอบเข้าไปในนิกายเทพสมุทร
นางพบว่ามีสมบัติและอาหารถูกกักตุนไว้เป็นจำนวนมาก
ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยก็สามารถยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ได้
และได้รับกระจกข้ามภพมา รวมถึงดวงจิตแห่งเทพอีกสองดวง
นับว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ายิ่งนัก
แต่ก็น่าเสียดายที่ลู่เพียวมิได้กลายเป็นประมุขของอาณาจักรแห่งนี้
เนื่องจากลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยคิดว่า
ควรที่จะให้อาณาจักรแห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าวิญญาณ
ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้อย่างแท้จริงจะเป็นการดีกว่า
“ไหไห่
เจ้าจะออกจากเกาะแห่งนี้หรือไม่?”
เซี่ยวซุ่ยหันไปถามไหไห่
“เกาะแห่งนี้จำเป็นต้องมีผู้ดูแล
ข้าคือผู้สืบทอดหน้าที่นั้น” ไหไห่ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ
“หากเจ้าต้องการข้าสามารถทำให้ท้องทะเลที่บ้าคลั่งสงบลงได้”
ลู่เพียวหันไปถามไหไห่ พร้อมกับยิ้ม
“หากท้องทะเลสงบ
คงจะมีผู้คนอีกมากมายที่พยายามมายึดครองที่นี่อีก
ให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะดีกว่า” ไหไห่ส่ายหน้าและตอบกลับไป
ทางด้านเนี่ยลี่
หลังจากที่นั่งบ่มเพาะพลังครึ่งเดือน
เขาก็สามารถบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เจ็ดแล้ว เขาได้เดินทางไปยังอาณาจักรเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
ตามที่ได้สัญญากับเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
ในตอนนี้อาวุธของนางทั้งสองคงใกล้ที่จะสร้างเสร็จแล้ว
เขาต้องการให้ทั้งสองคนไปรับอาวุธด้วยตัวเอง
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อออกมาพบเนี่ยลี่ที่ด้านนอกนิกาย
จากนั้นเนี่ยลี่จึงพาทั้งสองเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์
และพาเข้าไปยังภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ [เข้าไปตำหนักชมจันทร์เพื่อวางภาพจิตรกรรมเอาไว้]
เมื่อเดินทางเข้าไปเคารพเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
เนี่ยลี่ก็พูดออกไปว่า “ท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยงนี่คือภรรยาทั้งสองของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อต่างก็หน้าแดงก่ำ
เอียจื่ออวิ๋นหันไปมองเนี่ยลี่ด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองใจ ยังมิได้เข้าพิธีแต่งงาน
แต่กลับแนะนำพวกนางเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น
นางทั้งสองคือคู่หมั้นของข้าไม่ทราบว่าอาวุธของพวกนางนั้นเป็นเช่นใดบ้างขอรับ
ท่านผู้อาวุโส” เนี่ยลี่หันไปพูดกับเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงด้วยความเคารพ
“ข้าทำเสร็จแล้ว
แม่นางทั้งสองเชิญรับไปได้” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงสะบัดแขนของเขา
เครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นก็ลอยไปหาเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อทันที
“กู่เจิ้งเสียงสวรรค์! และ หร่วนเทพธิดา!” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดชื่อของเครื่องดนตรีทั้งสอง
[หร่วนคือเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับผีผา
ตรงส่วนล่างจะมีลักษณะแนวงกลม ต่างจากผีผาที่ด้านล่างมีลักษณะคล้ายลูกแพร]
เอียจื่ออวิ๋นลองใช้นิ้วกรีดกรายลงบนสายทั้งสิบสามเส้นของกู่เจิ้ง
[กู่เจิ้งนั้นแบบดั้งเดิมมีเพียงห้าสายและในแต่ละยุคสมัยก็มีการเพิ่มจำนวนสายขึ้นมาเรื่อย
ๆ ปัจจุบันแบบมาตรฐานมีถึงยี่สิบเอ็ดสาย ยุคที่ใช้กู่เจิ้งสิบสามสายคือยุคราชวงถัง]
ท่วงทำนองที่นางบรรเลงอยู่คือ ท่วงทำนองพิณสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์
นางสามารถบรรเลงได้ไพเราะเสียยิ่งกว่าที่เนี่ยลี่เคยได้ยินจากหมิงเยี่ยวู่ซวง
ความไพเราะของทวงทำนองนี้ไม่ด้อยไปกว่า การบรรเลงของอิงเยว่ลู่ เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเซี่ยวหนิงเอ๋อก็เริ่มใช้นิ้วบรรเลงบทเพลงเดียวกันกับเอียจื่ออวิ๋น
ท่วงทำนองทั้งสองสอดประสานกันอย่างไพเราะ ทำให้เนี่ยลี่และเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงกำลังพักผ่อนอยู่บนสรวงสวรรค์
“ไม่เลว ไม่เลว
ฝีมือของพวกเจ้าเหนือล้ำกว่าที่คาดคิดเอาไว้มากนัก
สมแล้วที่เป็นคู่หมั้นของเนี่ยลี่” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงลูบเคราและพูดออกไปด้วยความยินดี
“ท่านผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้ว”
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ หยุดมือและก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม
และใบหน้าของทั้งสองเริ่มที่จะแดงก่ำอีกครั้ง
“จากนี้ไปพวกเจ้าทั้งสอง
จงนำไปฝึกใช้ให้เชี่ยวชาญ
เมื่อถึงเวลาข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์” เนี่ยลี่หันไปพูดกับทั้งสองคน
เนี่ยลี่ไม่ต้องการรีบร้อนทำตามแผนจนเกินไป
เขาต้องการให้กู้เบ่ยและลู่เพียวทำงานสำเร็จก่อน
และต้องให้เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อสามารถใช้เครื่องดนตรีทั้งสองอย่างเชี่ยวชาญ
จึงจะส่งพวกนางไป
“พวกข้าเข้าใจแล้ว”
เอียจื่ออวิ๋นและเวี่ยวหนิงเอ๋อพยักหน้าตอบรับเนี่ยลี่
หนิงเอ๋อหันไปมองเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงและถามออกไปว่า
“ท่านผู้อาวุโสข้านั้นมีกระบี่วายุอัสนี
ไม่ทราบว่าจะสามารถนำมาผสานเข้ากับหร่วนเทพธิดานี้ได้หรือไม่?”
“แน่นอน! หร่วนเทพธิดานั้นสามารถซุกซ่อนอาวุธได้ เจ้าส่งมาให้ข้า ข้าจะทำการแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป
เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อส่งกับหร่วนเทพธิดาและกระบี่วายุอัสนี
ให้แก่” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
เขาก็ทำการแก้ไขส่วนบนของหร่วนเทพธิดาให้สามารถดึงออกมาเป็นกระบี่วายุอัสนี
คล้ายกับของเซี่ยวซุ่ยได้
เมื่อส่งคืนให้แก่เซี่ยวหนิงเอ๋อ
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก็ได้มอบเกราะอ่อนให้กับทั้งสองคน
ของเอียจื่ออวิ๋นคือเกราะเทพวายุเหมันต์ที่มีสีม่วงเปร่งประกาย
ส่วนของหนิงเอ๋อนั้นคือ เกราะเทพวายุอัสนีสีเหลืองอ่อน
หลังจากนั้นเนี่ยลี่
เอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็ได้กล่าวลาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
และออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไป
เมื่อพูดคุยกันอีกสักพัก
เนี่ยลี่ก็กลับไปยังนิกายพิทักษ์สวรรค์ของหลี่ชิงอวิ๋นอีกครั้ง.......จบตอน