test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

28 ธ.ค. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.64 เครื่องดนตรีสองชนิด




หลังจากกลับเข้ามาในเมือง เหล่ากองกำลังของนิกายเทพสมุทรยังคงต่อต้านลู่เพียวอยู่ เซี่ยวซุ่ยปาหอกเทพสมุทรไปปักที่พื้นเบื้องหน้ากองกำลังเหล่านี้และพูดออกไปว่า


“ประมุขหงไห่ได้ถูกสังหารไปแล้ว หากพวกเจ้ายังคิดจะต่อต้าน พวกข้าก็จะไม่ยั้งมือ”


เมื่อได้เห็นหอกเทพสมุทร เหล่ากองกำลังต่างก็รู้สึกตกใจ การที่อาวุธของประมุขหงไห่ อยู่ที่พวกเขา หากไม่ถูกสังหารไปแล้ว ก็ต้องปราชัยในการต่อสู้แล้วเป็นแน่


“เหตุใดพวกเจ้าจึงมารุกรานนิกายเทพสมุทรเช่นนี้ พวกเราอยู่กันอย่างสงบไม่เคยรุกรานผู้ใด ศัตรูของเรามีเพียงนิกายเทพวิญญาณเท่านั้น” หัวหน้ากองกำลังผู้หนึ่งตะโกนถาม


“นิกายเทพวิญญาณไม่เคยมีอยู่จริง วิญญาณเหล่านั้นแค่เพียงต้องการไปสู่สรวงสวรรค์ แต่ถูกพวกเจ้าขัดขวาง” ลู่เพียวแย้งกลับไป


“ประมุขหงไห่นั้นได้รับชี้แนะจากบริวารแห่งเทพ ท่านไม่มีทางโกหกพวกเรา” หัวหน้ากองกำลังคนเดิมตะโกนกลับมา


“บริวารแห่งเทพเช่นนั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวจริงของบริวารแห่งเทพที่พวกเจ้านับถือคือสิ่งใด” ลู่เพียวพูดพร้อมกับกระโดดไปที่เบื้องหน้าของรูปปั้นและใช้ง้าวเทพนักรบสวรรค์ฟันไปที่ส่วนหัวของรูปปั้น ที่เป็นรูปชายภายใต้ผ้าคลุม


การกวัดแกว่งง้าวเทพนักรบสวรรค์ของลู่เพียว แกะสลักส่วนหัวของรูปปั้นใหม่ กลายเป็นหัวของอสูรที่น่าเกลียดน่ากลัว


“นี่คือตัวจริงของบริวารแห่งเทพ พวกมันเป็นอสูร และเป็นผู้รับใช้ของจักรพรรดิปราชญ์ ผู้ที่หมายจะทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้” ลู่เพียวม้วนตัวอีกครั้งและไปยืนอยู่บนหัวของรูปปั้นและตะโกนออกไป


เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เพียว ทุกคนต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ยอดฝีมือที่มีความใกล้ชิดกับประมุขหงไห่ก็ไม่มีผู้ใดที่ทราบในเรื่องนี้มาก่อน และคำพูดของลู่เพียวนั้นก็ดูจริงจังเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องโกหก


“หากพวกเจ้าไม่เชื่อคำพูดของพวกเรา ก็จงเปิดเส้นทางให้พวกวิญญาณข้ามมายังเกาะแห่งนี้ แล้วพวกเราจะได้รู้ความจริงไปพร้อมกัน” เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป นางยืนอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และใช้กระบี่หยกคร่าวิญญาณทำลายบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไป


เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยวซุ่ย หัวหน้ากองกำลังจึงสั่งให้กองกำลังที่ปกป้องไม่ให้เส้นทางที่เหล่าวิญญาณข้ามมาถอนกำลัง และเปิดเส้นทางออก ไม่ให้มีผู้ใดขัดขวางวิญญาณเหล่านั้น พวกเขาเฝ้ามองดูด้วยความหวาดหวั่น ในตอนนี้ไร้ซึ่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่วิญญาณพวกนั้นได้


หลังจากนั้นวิญญาณจากอีกเกาะก็ค่อย ๆ ล่องลอยมาอยู่ตรงหน้ารูปปั้น วิญญาณเหล่านั้นจ้องมองไปที่รูปปั้น แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอันใดอีก


“รูปปั้นนั้นขวางเส้นทางทางสู่สรวงสวรรค์ของวิญญาณเหล่านั้น” ไหไห่ตะโกนบอกกับลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ย


ลู่เพียวยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาใช้ ด้ามง้าวเทพนักรบสวรรค์กระแทกลงไปที่หัวของรูปปั้น จากนั้นรูปปั้นก็ค่อยสลายออกไปเป็นผุยผง จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นมาอยู่ต่อหน้าวิญญาณเหล่านั้น ใบหน้าของวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนไป จากใบหน้าที่เศร้าสร้อยกลายเป็นยิ้มด้วยความยินดี


เซี่ยวซุ่ยนำผีผาคร่าวิญญาณออกมา และเริ่มบรรเลงท่วงทำนองบทเพลงสู่สรวงสวรรค์ ร่างวิญญาณเหล่านั้นเริ่มเปร่งประกายออกมา และค่อย ๆ แยกสลายกลายเป็นหิ่งห้อยล่องลอยขึ้นไปเบื้องบน ชาวเมืองและเหล่ากองกำลังต่างมองดูด้วยความอัศจรรย์ใจ บทเพลงที่เซี่ยวซุ่ยบรรเลงนั้นก็ฟังดูอบอุ่น และเคลิบเคลิ้ม จนทำให้พวกเขาตัวเบาราวกับว่าจะล่องลอยขึ้นไปบนสวรรคไม่ต่างจากวิญญาณเหล่านั้น


“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ” ทั้งสองคนราวกับว่าได้ยินเสียงของ วิญญาณเหล่านั้นขณะที่กำลังล่องลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ทุกคำขอบคุณที่มาจากใจของวิญญาณเหล่านั้นอย่างแท้จริง มีวิญญาณอีกสองดวงล่องลอยมาเบื้องหน้าของเซี่ยวซุ่ยและลู่เพียว ในมือของพวกเขามีดวงจิตสองดวง ทันทีที่ไหไห่ได้เห็นดวงวิญญาณทั้งสองก็ร้องไห้ออกมา


“ท่านพ่อ ท่านปู่” ดวงวิญญาณทั้งสองหันมายิ้มให้กับไหไห่ แต่ก็มิได้พูดอันใดออกมา วิญญาณทั้งสองยื่นดวงดวงจิตให้แก่เซี่ยวซุ่ย และลู่เพียว ราวกับขอให้ทั้งสองคนรับดวงจิตนี้ไว้ เซี่ยวซุ่ยและลู่เพียวเอื้อมมือไปรับ หลังจากนั้นวิญญาณทั้งลองก็ล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ตามดวงวิญญาณอื่น ๆ ไป


“ดวงจิตเทพวิญญาณ” เซี่ยวซุ่ยพูดขึ้นมาขณะที่มองดูดวงจิตในมือ


“ของข้าเป็นดวงจิตเทพสมุทร” ลู่เพียวพูดขณะที่หันไปมองวิญญาณเหล่านั้น เดิมทีดวงจิตทั้งสองถูกซุกซ่อนไว้ในเขาวงกตใต้เกาะนี้ วิญญาณเหล่านี้นำออกมาเพื่อขอบคุณทั้งสอง


ดวงจิตเทพวิญญาณสามารถควบคุมวิญญาณที่ไร้รูปลักษณ์ได้ดั่งใจ ส่วนดวงจิตเทพสมุทรนั้นเป็นเทพผู้ควบคุมพายุและห้วงสมุทรทุกแห่งบนโลกนี้ ซึ่งสามารถเกื้อหนุนพลังแห่งวายุให้กับลู่เพียว และยังเพิ่มความสามารถในการควบคุมมหาสมุทรให้แก่ลู่เพียวอีกด้วย


เมื่อทั้งสองคนผสานเข้ากับดวงจิตแห่งเทพที่ได้รับมา ระดับพลังของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นจนบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองในทันที


“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง” ลู่เพียวหันไปพูดกับหัวหน้ากองกำลัง


“พวกข้าเห็นแล้ว จากนี้ไปท่านจะให้พวกข้าทำเช่นใด” หัวหน้ากองกำลังเริ่มพูดกับลู่เพียวอย่างสุภาพ


“ในนามของนักรบสวรรค์ลู่เพียว ข้าจะคืนเกาะแห่งนี้ให้แก่เหล่าวิญญาณ” ลู่เพียวตะโกนออกไป ด้วยเสียงที่ดังไปทั่วทั้งเกาะ


“ท่านนักรบสวรรค์ หากท่านทำเช่นนั้นพวกเราจะทำอันใดกัน เรือสำเภาที่มาค้าขายก็ลอยลำกลับไปแล้ว หากมิใช่ยอดฝีมือระดับเทพสงครามการที่จะออกจากเกาะนี้ไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้” หัวหน้ากองกำลังแย้งกลับไป สำหรับตัวเขานั้นการออกจากเกาะนั้นสามารถทำได้ แต่ชาวเมืองและทหารในกองกำลังที่มีระดับพลังไม่สูงนัก ต้องอาศัยเรือในการออกจากเกาะเท่านั้น


“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล อีกครึ่งเดือนข้างหน้า สหายข้าจะเดินทางมาที่เกาะแห่งนี้ เขาสามารถสร้างเส้นทางพาทุกคนออกไปจากเกาะนี้ได้ ให้พวกเจ้าเตรียมการเอาไว้ก็พอ” ลู่เพียวส่ายศีรษะและตอบกลับไป


“ในยามนี้ให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติ สมบัติและอาหารที่อยู่ในนิกายเทพสมุทรจงนำมาแจกจ่ายให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม หลังจากที่ย้ายออกไปจากเกาะข้าจะทำลายสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้ เพื่อที่จะได้เป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าวิญญาณ” เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป ตอนที่นางลอบเข้าไปในนิกายเทพสมุทร นางพบว่ามีสมบัติและอาหารถูกกักตุนไว้เป็นจำนวนมาก


ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยก็สามารถยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ได้ และได้รับกระจกข้ามภพมา รวมถึงดวงจิตแห่งเทพอีกสองดวง นับว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ายิ่งนัก แต่ก็น่าเสียดายที่ลู่เพียวมิได้กลายเป็นประมุขของอาณาจักรแห่งนี้ เนื่องจากลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยคิดว่า ควรที่จะให้อาณาจักรแห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าวิญญาณ ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้อย่างแท้จริงจะเป็นการดีกว่า


“ไหไห่ เจ้าจะออกจากเกาะแห่งนี้หรือไม่?” เซี่ยวซุ่ยหันไปถามไหไห่


“เกาะแห่งนี้จำเป็นต้องมีผู้ดูแล ข้าคือผู้สืบทอดหน้าที่นั้น” ไหไห่ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ


“หากเจ้าต้องการข้าสามารถทำให้ท้องทะเลที่บ้าคลั่งสงบลงได้” ลู่เพียวหันไปถามไหไห่ พร้อมกับยิ้ม


“หากท้องทะเลสงบ คงจะมีผู้คนอีกมากมายที่พยายามมายึดครองที่นี่อีก ให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะดีกว่า” ไหไห่ส่ายหน้าและตอบกลับไป


ทางด้านเนี่ยลี่ หลังจากที่นั่งบ่มเพาะพลังครึ่งเดือน เขาก็สามารถบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เจ็ดแล้ว เขาได้เดินทางไปยังอาณาจักรเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ตามที่ได้สัญญากับเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ในตอนนี้อาวุธของนางทั้งสองคงใกล้ที่จะสร้างเสร็จแล้ว เขาต้องการให้ทั้งสองคนไปรับอาวุธด้วยตัวเอง


เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อออกมาพบเนี่ยลี่ที่ด้านนอกนิกาย จากนั้นเนี่ยลี่จึงพาทั้งสองเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์ และพาเข้าไปยังภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ [เข้าไปตำหนักชมจันทร์เพื่อวางภาพจิตรกรรมเอาไว้]


เมื่อเดินทางเข้าไปเคารพเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง เนี่ยลี่ก็พูดออกไปว่า “ท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยงนี่คือภรรยาทั้งสองของข้า”


เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อต่างก็หน้าแดงก่ำ เอียจื่ออวิ๋นหันไปมองเนี่ยลี่ด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองใจ ยังมิได้เข้าพิธีแต่งงาน แต่กลับแนะนำพวกนางเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น นางทั้งสองคือคู่หมั้นของข้าไม่ทราบว่าอาวุธของพวกนางนั้นเป็นเช่นใดบ้างขอรับ ท่านผู้อาวุโส” เนี่ยลี่หันไปพูดกับเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงด้วยความเคารพ


“ข้าทำเสร็จแล้ว แม่นางทั้งสองเชิญรับไปได้” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงสะบัดแขนของเขา เครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นก็ลอยไปหาเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อทันที


“กู่เจิ้งเสียงสวรรค์! และ หร่วนเทพธิดา!” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดชื่อของเครื่องดนตรีทั้งสอง [หร่วนคือเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับผีผา ตรงส่วนล่างจะมีลักษณะแนวงกลม ต่างจากผีผาที่ด้านล่างมีลักษณะคล้ายลูกแพร]


เอียจื่ออวิ๋นลองใช้นิ้วกรีดกรายลงบนสายทั้งสิบสามเส้นของกู่เจิ้ง [กู่เจิ้งนั้นแบบดั้งเดิมมีเพียงห้าสายและในแต่ละยุคสมัยก็มีการเพิ่มจำนวนสายขึ้นมาเรื่อย ๆ ปัจจุบันแบบมาตรฐานมีถึงยี่สิบเอ็ดสาย ยุคที่ใช้กู่เจิ้งสิบสามสายคือยุคราชวงถัง] ท่วงทำนองที่นางบรรเลงอยู่คือ ท่วงทำนองพิณสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ นางสามารถบรรเลงได้ไพเราะเสียยิ่งกว่าที่เนี่ยลี่เคยได้ยินจากหมิงเยี่ยวู่ซวง ความไพเราะของทวงทำนองนี้ไม่ด้อยไปกว่า การบรรเลงของอิงเยว่ลู่ เลยแม้แต่น้อย


ทันใดนั้นเซี่ยวหนิงเอ๋อก็เริ่มใช้นิ้วบรรเลงบทเพลงเดียวกันกับเอียจื่ออวิ๋น ท่วงทำนองทั้งสองสอดประสานกันอย่างไพเราะ ทำให้เนี่ยลี่และเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงกำลังพักผ่อนอยู่บนสรวงสวรรค์


“ไม่เลว ไม่เลว ฝีมือของพวกเจ้าเหนือล้ำกว่าที่คาดคิดเอาไว้มากนัก สมแล้วที่เป็นคู่หมั้นของเนี่ยลี่” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงลูบเคราและพูดออกไปด้วยความยินดี


“ท่านผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้ว” เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ หยุดมือและก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม และใบหน้าของทั้งสองเริ่มที่จะแดงก่ำอีกครั้ง


“จากนี้ไปพวกเจ้าทั้งสอง จงนำไปฝึกใช้ให้เชี่ยวชาญ เมื่อถึงเวลาข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์” เนี่ยลี่หันไปพูดกับทั้งสองคน เนี่ยลี่ไม่ต้องการรีบร้อนทำตามแผนจนเกินไป เขาต้องการให้กู้เบ่ยและลู่เพียวทำงานสำเร็จก่อน และต้องให้เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อสามารถใช้เครื่องดนตรีทั้งสองอย่างเชี่ยวชาญ จึงจะส่งพวกนางไป


“พวกข้าเข้าใจแล้ว” เอียจื่ออวิ๋นและเวี่ยวหนิงเอ๋อพยักหน้าตอบรับเนี่ยลี่


หนิงเอ๋อหันไปมองเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงและถามออกไปว่า


“ท่านผู้อาวุโสข้านั้นมีกระบี่วายุอัสนี ไม่ทราบว่าจะสามารถนำมาผสานเข้ากับหร่วนเทพธิดานี้ได้หรือไม่?

“แน่นอน! หร่วนเทพธิดานั้นสามารถซุกซ่อนอาวุธได้ เจ้าส่งมาให้ข้า ข้าจะทำการแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป

เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อส่งกับหร่วนเทพธิดาและกระบี่วายุอัสนี ให้แก่” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง เขาก็ทำการแก้ไขส่วนบนของหร่วนเทพธิดาให้สามารถดึงออกมาเป็นกระบี่วายุอัสนี คล้ายกับของเซี่ยวซุ่ยได้

เมื่อส่งคืนให้แก่เซี่ยวหนิงเอ๋อ เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก็ได้มอบเกราะอ่อนให้กับทั้งสองคน ของเอียจื่ออวิ๋นคือเกราะเทพวายุเหมันต์ที่มีสีม่วงเปร่งประกาย ส่วนของหนิงเอ๋อนั้นคือ เกราะเทพวายุอัสนีสีเหลืองอ่อน


หลังจากนั้นเนี่ยลี่ เอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็ได้กล่าวลาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง และออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไป


เมื่อพูดคุยกันอีกสักพัก เนี่ยลี่ก็กลับไปยังนิกายพิทักษ์สวรรค์ของหลี่ชิงอวิ๋นอีกครั้ง.......จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว






เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง