หลังจากการประลองของสามกลุ่มแรกจบไป
ลู่เพียวก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา
นั่นหมายความว่าเซี่ยวซุ่ยยังหากระจกข้ามภพไม่เจอ
และลู่เพียวต้องลงประลองในรอบต่อไปแล้ว
“กลุ่มที่สี่ขึ้นมาบนลานประลองได้”
มีเสียงประกาศเรียก ลู่เพียวจึงต้องขึ้นไปบนลานประลองทันที
‘เป้าหมายของข้ามิใช่คือการเอาชนะ
แต่ต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด’ ลู่เพียวยืนคิดอยู่ในใจขณะที่เริ่มการต่อสู้มีคนวิ่งเข้ามาต่อยลู่เพียวทันที
ลู่เพียวทำเพียงแค่หลบการโจมตีของคนอื่น
ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบโต้ ในบางครั้งก็ช่วยดึงผู้เข้าร่วมประลองที่จะหล่นลงไปจากลานประลองขึ้นมา
ทำให้ผู้ชมหลายคนรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่ได้เห็น
“สงสัยว่าข้าคงจะแกล้งต่อสู้ได้ไม่สมจริงเท่าใดนัก”
ลู่เพียวพูดขึ้นมาเมื่อเริ่มสังเกตุเห็นผู้คนชี้มายังเขา ที่ยืนอยู่บนลานประลอง
ยิ่งจำนวนผู้เข้าร่วมการประลองลดลงมากเท่าใด
ลู่เพียวก็ยิ่งเป็นจุดสังเกตุมากขึ้นไปเท่านั้น
ในตอนนี้เหลือคนอยู่ในลานประลองแค่แปดคนเท่านั้นลู่เพียวจึงตัดสินใจพูดออกไปว่า
“การประลองเช่นนี้น่าเบื่อยิ่งนัก
พวกเจ้าทั้งแปดคนเข้ามาสู้กับข้าพร้อมกัน ข้าคงจะสนุกขึ้นไม่น้อย”
หากปล่อยให้แยกกันไปต่อสู้จำนวนคนจะลดลงอย่างรวดเร็ว
หากให้ทุกคนมุ่งเป้ามาที่เขาคงจะถ่วงเวลาได้ไม่น้อย
“เจ้าเด็กบ้าผู้นี้ อวดดียิ่งนัก”
ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาต่อยหน้าลู่เพียวทันที
แต่ลู่เพียวก็ใช้มือปัดหมัดของเขาอย่างไม่ยากนัก
ชายคนที่สองเตะมาทางด้านหลังของลู่เพียวที่เป็นจุดอับสายตา แต่ลู่เพียวก็สามารถรับรู้ได้จากอากาศและสายลมที่เคลื่อนไหวอยู่
จึงสามารถกระโดดหลบได้อย่างง่ายดาย
เจ็ดคนที่เหลือล้วนมีความแข็งแกร่งในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์
หากลู่เพียวประมาทก็อาจถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บได้ เมื่อปิดกั้นลมปราณเอาไว้ ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าลู่เพียวกระโดดอยู่กลางอากาศ
คงไม่อาจที่จะหลบการโจมตีได้ ชายอีกคนจึงกระโดดเตะไปที่ลู่เพียวทันที
แต่ลู่เพียวก็สามารถพลิกตัวหลบได้พร้อมกับเตะสวนออกไปทำให้อีกฝ่ายตกลงไปนอกการประลองทันที
“โจมตีสวนกลับแรงเกินไปหรือนี่”
ลู่เพียวบ่นกับตัวเองขณะที่ม้วนตัวกลับมายืนกลางลานประลอง
“ใช้ลมปราณจัดการกับเจ้าเด็กบ้านี่ซะ”
ทั้งหกคนที่เหลือปล่อยลมปราณจากฝ่ามือใส่ลู่เพียวจากรอบทิศทางทันที
“ยะ..แย่แล้ว
ฝ่ามือเคลื่อนสวรรค์!”
ลู่เพียวใช้ฝ่ามือรับพลังลมปราณที่พุ่งเข้าหาตัวเองทีละจุดแล้วเหวี่ยงกลับไปยังทิศทางตรงข้าม
ทำให้ทั้งหกคนนั้นถูกพลังของคนที่อยู่ตรงข้ามกระแทกตกลงไปจากลานประลองพร้อมกัน
เคล็ดวิชานี้ปรมาจารย์เทียนอู่ถ่ายทอดให้ลู่เพียวใช้ ในยามที่ไร้อาวุธ
“ผู้ชนะในรอบที่สี่คือลู่เพียว”
เสียงประกาศชื่อผู้ชนะดังขึ้น ลู่เพียวถอนหายใจออกมา
เขาถ่วงเวลาได้ราวครึ่งชั่วยามจากการประลองในรอบนี้
ทางด้านเซี่ยวซุ่ยและไหไห่นั้นเดินทางไปยังภูเขาด้านหลัง
และได้พบว่ามีกองกำลังยืนปกป้องตำหนักแห่งนี้อยู่ราวสิบคน
ทั้งหมดนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกร
นางเก็บศิลาเร้นเมฆาเอาไว้และนำผีผามาบรรเลงเพลงขับกล่อมสวรรค์
นางใช้ลมปราณระดับเทพสงครามในการบรรเลงบทเพลงนี้
ยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรจึงไม่อาจต้านทานท่วงทำนองเพลงขับกล่อมสวรรค์ได้
จึงหลับไหลไปทั้งสิบคน
เมื่อลอบเข้าไปในตำหนักได้
ดูเหมือนว่าจะมีเส้นทางทอดยาวเข้าไปด้านใน เมื่อไหไห่ก้าวเข้าไปก็มีหอกและลูกธนูพุ่งออกมาจากด้านข้างเซี่ยวซุ่ยจึงรีบใช้มือปัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
ไหไห่นั้นรู้สึกตกใจยิ่งนัก หากเขามาเพียงลำพังจะจต้องจบชีวิตไปแล้วเป็นแน่
ดูเหมือนว่าในตำหนักแห่งนี้จะมีกับดักอยู่เป็นจำนวนมาก
เซี่ยวซุ่ยต้องคอยปกป้องไหไห่จึงไม่สามารถบุกเข้าไปได้รวดเร็วนัก
ด้านลู่เพียวในตอนนี้มีผู้ชนะครบสี่คนแล้ว
เดิมทีลู่เพียวคิดว่าจะต้องต่อสู้จนเหลือคนสุดท้าย
แต่เขาคิดผิดผู้ชนะทั้งสี่นั้นได้เข้าร่วมในกองกำลังของนิกายเทพสมุทรทันที
ลู่เพียงจึงรีบพูดออกไปว่า
“เมื่อข้าได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังแล้ว
ข้าขอเข้าร่วมในการแข่งขัดเพื่อจัดอันดับในกองกำลังด้วยขอรับ”
“นับว่าใจกล้าไม่เลว
พวกเจ้าทั้งสี่นั้นเมื่อเป็นสมาชิกใหม่ของกองกำลัง
จึงถูกจัดเอาไว้ในลำดับที่ต่ำที่สุด
หากต้องการเลื่อนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเจ้าจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อยู่ในอันดับที่เหนือกว่า
หากเอาชนะได้ก็จะได้ลำดับชั้นนั้นไป” ประมุขหงไห่พูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำร้องขอของลู่เพียว
“ขอบคุณท่านประมุข
ถ้าเช่นนั้นข้าขอบังอาจประลองกับศิษย์ทุกคนตั้งแต่ลำดับล่างสุดจนกว่าจะพ่ายแพ้
ท่านประมุขจะอนุญาตหรือไม่?”
ลู่เพียวแกล้งทำเป็นประสานมือและก้มหัวพูดอย่างนอบน้อม
“เจ้ารู้หรือไม่
กองกำลังของนิกายเทพสมุทรนั้นมีนับหมื่นคนเจ้าคิดจะสู้กับคนทั้งหมดเช่นนั้นหรือ? ข้าควรจะชื่นชมในความกล้าหาญของเจ้าหรือว่าควรจะลงโทษในความอวดดีของเจ้า!” ประมุขหงไห่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
เขาดูการต่อสู้ของลู่เพียวก็รู้ได้ทันทีว่า ลู่เพียวต้องการถ่วงเวลา
ในตอนนี้ลู่เพียวก็ร้องขอที่จะต่อสู้เช่นนี้
เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายแอบแฝงอยู่เป็นแน่
“ท่านประมุข
อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแค่ต้องการทดสอบฝีมือของตนเองเท่านั้น”
ลู่เพียวรู้สึกตกใจกับคำพูดของประมุขหงไห่ ชายผู้นี้ไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด
“หลงไห่
เจ้าจงไปต่อสู้กับเจ้าเด็กอวดดีผู้นี้ และทำให้มันพูดทุกสิ่งที่ปกปิดเอาไว้
ส่วนข้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อท่านบริวารแห่งเทพ”
ประมุขหงไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หลงไห่เป็นยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง
ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังคนหนึ่ง ลำดับของเขานั้นอยู่ในลำดับที่ยี่สิบสามของกองกำลัง
“ขอรับ ท่านประมุข!” หลงไห่กระโดดขึ้นไปบนลานประลอง
และใช้ลมปราณกระชากลู่เพียวขึ้นมาเช่นกัน
‘แย่แล้ว
หากเขาไปรายงานบริวารแห่งเทพในตอนนี้ จะต้องพบกับเซี่ยวซุ่ยและไหไห่เป็นแน่’
เมื่อคิดได้เช่นนั้นลู่เพียวจึงแอบเก็บศิลาเร้นเมฆาเอาไว้และปลดปล่อยพลังระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งออกมาพร้อมกับนำง้าวเทพนักรบสวรรค์
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ลู่เพียวตวัดง้าวเทพนักรบสวรรค์เพียงเล็กน้อยก็ทำให้หลงไห่ถูกพัดลงจากลานประลองไป ชาวเมืองที่ชมการประลองอยู่ต่างก็วิ่งหนีเข้าที่พักไป
“เผยตัวจริงออกมาแล้วสินะ”
ประมุขหงไห่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ข้านั้นไม่ต้องการที่จะสังหารผู้ใด
ยกเว้นเจ้า หงไห่” ลู่เพียวชี้ง้าวเทพนักรบสวรรค์ไปยังประมุขหงไห่และพูดออกไป
“ข้านั้นทำผิดอันใด
และเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะสังหารข้าเช่นนั้นหรือ” ประมุขหงไห่ปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าออกมา
ทำให้ลานประลองถูกพัดกระเด็นไปในทันที เป็นลมปราณที่เกรี้ยวกราดราวกับคลื่นทะเล
และพายุเลยทีเดียว
“เป็นมนุษย์แต่กลับนับถือบริวารแห่งเทพที่เป็นสาวกแห่งจักรพรรดิปราชญ์
เหตุผลเพียงข้อเดียวนี้ก็มากพอที่ข้าจะต้องสังหารเจ้าแล้ว” ลู่เพียวตอบกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” ประมุขหงไห่รู้สึกตกใจกับคำพูดของลู่เพียว
เรื่องที่บริวารแห่งเทพเป็นสาวกแห่งจักรพรรดิปราชญ์เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้
“ข้าคือนักรบสวรรค์
ลู่เพียว ผู้ที่จะมาลงโทษเจ้าไงเล่า!”
ลู่เพียวตอบกลับไปพร้อมกับฟันง้าวเทพนักรบสวรรค์ไปด้านหน้า
คลื่นลมปราณจากง้าวเทพนักรบสวรรค์ตัดผ่านทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพุ่งไปหาประมุขหงไห่อย่างรวดเร็ว
“หอกเทพสมุทร!” ประมุขหงไห่เรียกอาวุธคู่กายของเขาออกมาและโจมตีสวนกลับไป
คลื่นพลังทั้งสองปะทะกันจนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
“หากเจ้าไม่ต้องการให้เมืองได้รับความเสียหาย
จงไปสู้กับข้าที่ชายทะเลนอกเมือง”
ลู่เพียวทะยานไปยืนรูปปั้นของบริวารแห่งเทพและหันไปพูดกับประมุขหงไห่
“เจ้ากล้าลบหลู่บริวารแห่งเทพ
เมื่อเจ้าเลือกที่นั่นเป็นตายของเจ้า ข้าก็ยินดี”
ประมุขหงไห่ทะยานออกไปที่ชายทะเลด้านนอก
เมื่อเห็นเช่นนั้นลู่เพียวจึงทะยานตามไปทันที
ประมุขหงไห่กระโดดขึ้นไปยืนบนทะเลตรงที่มีหินโสโครกอยู่
เมื่อลู่เพียวเห็นเช่นนั้นจึงกระโดดตามไปทันที
ทางด้านประมุขหงไห่นั้นแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยทันที
“หอกเจ้าสมุทรของข้า
คืออาวุธที่ได้รับมาจากบริวารแห่งเทพ มันได้รับพลังเกื้อหนุนจากท้องทะเล
มังกรเจ้าสมุทรกลืนแผ่นดิน!”
ประมุขหงไห่ใช้ลมปราณสร้างมังกรจากทะเลพุ่งเข้าโจมตีลู่เพียวทันที
“เรื่องนั้นข้าทราบดี
แต่ในท้องทะเลที่บ้าคลั่งนี้ก็มีพลังแห่งวายุเกื้อหนุนให้แก่ข้าเช่นกัน
มังกรวายุโหมกระหน่ำ”
ลู่เพียวกวัดแกว่งง้าวเทพนักรบสวรรค์ทำให้ปรากฏรูปร่างของมังกรวายุพุ่งเข้าปะทะกับมังกรเจ้าสมุทรของประมุขหงไห่ทันที
ตูมม! ตูมม!
เสียงของมังกรวายุปะทะเข้ากับมังกรเจ้าสมุทรจนระเบิดออกทั้งสองฝ่าย
ในตอนนี้ลู่เพียวใช้ลมปราณในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าเช่นกัน
“เพลงหอกร้อยดารา!” ประมุขหงไห่ใช้เพลงหอกที่แทงมาร้อยครั้งพร้อมกัน
แต่ลู่เพียวก็สามารถใช้ปลายง้าวแทงสวนกลับได้ทั้งหมด ประกายแสงจากการกระทบกันของหอกและง้าว
มองดูดาวกับดวงดาราที่ประสายแสงยามค่ำคืน
“มีฝีมือเพียงเท่านี้กลับกล้าที่จะตั้งตนเป็นประมุขเช่นนั้นหรือ?” ลู่เพียวพูดออกไปอย่างกับเย้ยหยัน
“เจ้าเด็กอวดดี
ผสานจิตอสูร มังกรวารีห้วงทะเลลึก”
ประมุขหงไห่เรียกจิตอสูรมังกรวารีห้วงทะเลลึกออกมาผสาน
มังกรนี้อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกตามชื่อของมัน ตัวใหญ่หลายสิบเมตร มีเกล็ดทั่วทั้งร่าง
และมีหนามงอกออกมาทั้วทั้งร่าง
“วันนี้ข้าจะใช้ง้าวเทพนักรบสวรรค์ล่ามังกรตัวใหญ่นี้”
ลู่เพียวควงง้าวด้วยความลำพองใจ แม้ว่าจะผสานเข้ากับมังกรวารีห้วงทะเลลึก
ระดับพลังของประมุขหงไห่ก็ยังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าเท่านั้น ลู่เพียวค่อย
ๆ ปลดปล่อยลมปราณระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกมา
“ระเบิดมังกรวารี!” ประมุขหงไห่รวบรวมลมปราณไปที่ปากมังกรและพ่นน้ำออกมาราวกับปืนใหญ่
ทางด้านลู่เพียวใช้ง้าวฟันระเบิดน้ำที่พุ่งออกมาเป็นสองซีกอย่างง่ายดาย
ทำให้ประมุขหงไห่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นประมุขหงไห่ก็ใช้หางมังกรวารีที่มีหนามแหลมคมฟาดไปที่ลู่เพียว
แต่ลู่เพียวก็สามารถกระโดดม้วนตัวหลบได้
ไม่เพียงเท่านั้นลู่เพียวยังใช้ง้าวเทพนักรบสวรรค์จัดการมังกรวารีห้วงทะเลลึกขาดในคราวเดียว
ทำให้ประมุขหงไห่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“จงสำนึกผิดในสิ่งที่เจ้าทำซะ!”
ลู่เพียวกระโดดขึ้นไปพร้อมกับตวัดง้าวเทพนักรบสวรรค์ไปที่แขนขวาของประมุขหงไห่
ทำให้แขนขวาของประมุขหงไห่ถูกตัดขาดในทันที ร่างกายของประมุขหงไห่ค่อย ๆ
คลายการผสานร่างกลับสู่ร่างมนุษย์ทันที แม้ว่าจะกลับมาสู่รูปลักษณ์ของมนุษย์แต่แขนขวาที่ขาดไปก็ไม่ได้กลับคืนมาดังเดิม
“ข้าสำนึกผิดแล้ว
อย่าได้สังหารข้า” ประมุขหงไห่ใช้มือซ้ายกุมแขนขวาที่ถูกตัดขาดไปเพื่อห้ามเลือดและก้มหัวพูดกับลู่เพียว
“หากสำนึกผิดแล้วก็จงตามข้ากลับเข้าเมือง
เจ้าจะถูกกักขังจนกว่าเพื่อนของข้าจะเดินทางมาถึง” ลู่เพียวพูดจบก็เดินมุ่งหน้ากลับไปยังเมือง
‘เจ้าเด็กโง่
แม้ว่าแขนข้าจะขาดไป
ด้วยพลังระดับวิถีแห่งมังกรจะสามารถฟื้นฟูกลับคืนมาเช่นเดิมได้
หากชะตาวิญยาณยังไม่เสื่อมสลาย’ ประมุขหงไห่คิดในใจ แขนที่ขาดของเขาค่อย ๆ
กลับคืนสภาพ เขาเรียกหอกเทพสมุทรออกมาอีกครั้งและเตรียมพุ่งไปยังด้านหลังของลู่เพียว
ที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองทันที
“ตายซะ!” ประมุขหงไห่ปาหอกเทพสมุทรออกไปสุดแรง
ฉึกก!
กระบี่หยกเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาปักที่หน้าอกของประมุขหงไห่ทันที
ในมือของเขายังคงถือหอกเทพสมุทรอยู่และหมดลมหายใจไปในทันที
กระบี่หยกนี้คือ
กระบี่หยกคร่าวิญญาณของเซี่ยวซุ่ยนั่นเอง
นางกลับมาพร้อมกับไหไห่และได้นำกระจกข้ามภพมาด้วยแล้ว
นางใช้ลมปราณดึงกระบี่หยกคร่าวิญญาณกลับมาและเก็บไว้ที่ผีผาคร่าวิญญาณดังเดิม
“เหตุใดเจ้าจึงประมาทเช่นนี้
หากข้าไม่สังหารเขา หอกเล่มนั้นคงพุ่งปักด้านหลังเจ้าแล้ว” เซี่ยวซุ่ยบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ข้าแค่หวังว่าเขาจะสำนึกผิดได้
หากเจ้าไม่ยืนมือเข้ามาข้าก็สามารถปัดป้องและสังหารเขาได้เช่นกัน”
ลู่เพียวพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจที่ต้องสังหารมนุษย์
จากนี้ไปพวกเราจะทำเช่นใดกัน” เซี่ยวซุ่ยมองไปยังเมืองที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
ลู่เพียวพูดขณะที่เดินเข้าไปในเมือง.......จบตอน