test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

26 ธ.ค. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.62 เกาะวิญญาณล่องลอย



“ไหไห่ ขอให้เจ้าฟังเรื่องของพวกเราก่อน!” เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป โดยไม่มีท่าทีที่คิดร้าย

“พวกท่านมายังเกาะแห่งนี้ด้วยเหตุใดกัน?” ไหไห่ถามออกไป ในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง


“อีกราวสองปีหลังจากนี้ จะมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น ผู้นำของอีกฝ่ายคือจักรพรรดิปราชญ์และบริวารแห่งเทพ พวกมันคิดจะทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ สหายของข้าเป็นผู้มีชะตะต้องต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์ พวกข้านั้นต้องการทำหน้าที่สนับสนุนเขา และที่พวกเามายังเกาะแห่งนี้เพื่อที่จะตามหา กระจกข้ามภพ ที่เผ่าอสูรใช้ติดต่อกับบริวารแห่งเทพ” เซี่ยวซุ่ยอธิบายอย่างช้า ๆ


“พวกข้าแค่ต้องการตัดกำลังสนับสนุนของจักรพรรดิปราชญ์และบริวารแห่งเทพเท่านั้น” ลู่เพียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เซ่ยวซุ่ยพูดสนับสนุน


“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของจักรพรรดิปราชญ์มาก่อน แต่หากเป็นบริวารแห่งเทพ ข้าได้ยินชื่อนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว นิกายเทพสมุทรนับถือเขาราวกับเป็นเทพผู้ปกครองโลกนี้” ไหไห่พูดพร้อมกับส่ายหน้า


“อะไรกัน! ไม่ใช่ว่า บริวารแห่งเทพนั้นควบคุมนิกายเทพวิญญาณหรอกหรือ เหตุใดจึงกลายเป็นนิกายเทพสมุทรไปได้” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


“ข้าคือชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า เกาะวิญญาณล่องลอย มันเป็นสุสานกลางทะเลและพวกข้ามีหน้าที่เฝ้าดูแล” ไหไห่เริ่มเล่าถึงที่มาของเกาะแห่งนี้ให้ทั้งสองคนฟัง


“มีความเชื่อว่าหากได้นำศพมาฝังไว้ที่เกาะแห่งนี้ ดวงวิญญาณจะสามารถขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ได้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องฝ่าคลื่นลมมาด้วยความยากลำบาก ก็ยังมีคนที่พยายามนำศพมาฝังที่เกาะแห่งนี้ แต่ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่มีคนกลุ่มหนึ่งล่องเรือมายังเกาะแห่งนี้” ไหไห่เล่าด้วยความเจ็บแค้น


“เจ้าหมายถึงพวกนิกายเทพสมุทรเช่นนั้นหรือ?” เซี่ยวซุ่ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป


“ถูกต้องแล้ว ท่านปู่ของข้าเล่าให้ข้าฟังว่า หลังจากที่คนพวกนั้นขึ้นมาบนเกาะ ก็เริ่มที่จะยึดครองพื้นที่และสร้างนิกายเทพสมุทรขึ้นมา เหล่าวิญญาณที่เคยอยู่อย่างสงบจึงไม่อาจขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ได้ และกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน พวกนิกายเทพสมุทรจึงได้ปั้นน้ำเป็นตัวว่า วิญญาณเหล่านั้นกลายเป็นอสูร และเป็นสาวกของนิกายเทพวิญญาณที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นก็ประกาศตัวออกไปว่านี่คืออาณาจักรแห่งใหม่ที่ถูกค้นพบ” ไหไห่ตอบกลับไป ในตอนนี้เขากำหมัดจนแน่น


“หากที่เจ้าเล่ามาเป็นความจริง เหตุใดชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะจึงไม่ขัดขวางพวกเขา?” ลู่เพียวแย้งกลับไป


“เพราะทำเช่นนั้นไงเล่า ข้าจึงต้องอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง” ไหไห่ตะโกนตอบกลับไปพร้อมกับร้องไห้


“หากเป็นดั่งที่เจ้าพูดมา วิญญาณของครอบครัวเจ้าก็ยังล่องลอยอยู่ใกล้ ๆ เกาะแห่งนี้ ถ้าหากจะพูดให้ถูกต้อง วิญญาณของพวกเขาอยู่ที่เกาะที่ถูกเรียกว่านิกายเทพวิญญาณสินะ” เซี่ยวซุ่ยมองผ่านหน้าต่างออกไปยังเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ


“บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมหรือไม่?” ลู่เพียวนึกขึ้นได้จึงถามออกไป


“เดิมทีไม่มีบ่อน้ำที่ว่านี้อยู่บนเกาะมาก่อน พวกเขาพูดกันว่าเป็นสิ่งที่ได้ประทานมาจากบริวารแห่งเทพ” ไหไห่ตอบกลับไป


“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมือง หากทุกอย่างเป็นดั่งที่เจ้าเล่า พวกเราจะมาพูดคุยกันอีกครั้ง แต่ในตอนนี้ข้ารับปากว่าจะไม่ทำสิ่งใดเกินเลยไปกว่าการหาความจริงเท่านั้น” เซี่ยวซุ่ยพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร


หลังจากนั้นไหไห่ก็กลับไปยังห้องของเขา เขาพูดกับตัวเองว่า “ข้าหวังว่าเขาจะเป็นผู้กอบกู้ที่ท่านปู่เคยบอกไว้ หากไม่เป็นเช่นนั้น ชีวิตของข้าคงต้องจบลงเป็นแน่”


ไหไห่เป็นชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะคนสุดท้ายที่ได้รับรู้ความจริงของเกาะนี้ ปู่เขาเคยบอกเอาไว้ว่าสักวันจะมีผู้กอบกู้เดินทางมาทำให้เกาะนี้เป็นเกาะที่สงบเช่นเดิม บิดาของเขาพยายามพูดความจริงในเรื่องนี้ แต่ก็ต้องถูกพวกนิกายเทพสมุทรสังหาร การที่เขายอมเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยฟัง เพราะเขามั่นใจว่าทั้งสองคนเป็นคนจากภายนอก และไม่ใช่พวกของนิกายเทพสมุทร เนื่องจากยอมจ่ายเงินให้แก่เขา เพื่อให้เขาพาเข้าไปในเมือง เพราะหากเป็นคนของนิกายเทพสมุทร พวกเขาไม่มีทางยอมจ่ายเงินให้อย่างแน่นอน


“หากเรื่องจริงเป็นดั่งที่ไหไห่เล่ามา พวกเราควรจะทำเช่นใดกัน?” ลู่เพียวพูดพร้อมกับถอนหายใจ เขาเตรียมใจที่จะมาสู้กับอสูร ไม่ใช่สู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง


“ข้าเองก็หนักใจเช่นกัน แต่หากคนเหล่านั้นเป็นสาวกของบริวารแห่งเทพนั่นก็เป็นอีกเรื่อง หากนับถืออสูรเป็นพระเจ้า คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากพวกอสูร” เซี่ยวซุ่ยพูดขึ้นมา


“มิน่าเล่าเนี่ยลี่จึงพูดว่า ให้ทำเท่าที่ทำได้ เพราะสำหรับข้าแล้วมันเรื่องที่ทำใจได้ยาก” ลู่เพียวนึกถึงคำพูดของเนี่ยลี่อีกครั้ง


“บางทีเนี่ยลี่อาจจะไม่รู้ความจริงในเรื่องนี้ก็เป็นได้ เขาย้อนกลับมาจากสองร้อยปีข้างหน้า ในตอนนั้นไหไห่อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว หมายความว่าย่อมไม่มีผู้ใดที่รู้ความจริงในเรื่องนี้” เซี่ยวซุ่ยแย้งกลับไป

“พวกเราจะรู้ความจริงหลังจากเข้าไปในเมืองวันพรุ่งนี้” ลู่เพียวพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอน


เช้าวันต่อมาไหไห่ได้พาลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยเข้าไปในเมือง ที่ดูแล้วก็ไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ที่เขาเคยเห็นเท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก พวกเขาคือคนที่ถูกพามาบนเกาะแห่งนี้และไม่สามารถเดินทางกลับออกไปจากเกาะได้ เรือสำเภาที่เข้ามาซื้อขายจะปฏิเสธที่จะพาพวกเขากลับไปยังดินแดนเกิดของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ทำงานหาเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่บนเกาะแห่งนี้เท่านั้น


เมืองถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนของชาวเมืองและส่วนของนิกายเทพสมุทร ที่ด้านหน้าของทางเข้านิกายเทพสมุทร จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ เป็นรูปปั้นของชายที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุม และมีป้ายสลักเอาไว้ด้านล่างว่า บริวารแห่งเทพ และที่เท้าของรูปปั้นมีบ่อน้ำเล็ก ๆ อยู่ ตรงนั้นก็คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็มีกองกำลังของนิกายเทพสมุทรยืนเฝ้าเอาไว้


เซี่ยวซุ่ยได้เข้าไปพักในโรงเตี๊ยมและขอให้ไหไห่หาซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน เพื่อให้ดูกลมกลืนกับชาวเมือง ซึ่งแน่นอนว่าลู่เพียวเองก็เช่นกัน พวกเขาพักอยู่ในเมืองเป็นเวลาหลายวันเพื่อหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด


“พวกท่านเชื่อสิ่งที่ข้าเล่าแล้วใช่หรือไม่?” ไหไห่ถามพร้อมกับมองที่พวกเขาทั้งสอง


“ข้ายังมีเรื่องที่สงสัย หากพวกข้าสามารถกำจัดนิกายเทพสมุทรได้ ชาวเมืองเหล่านี้จะอยู่กันเช่นใด?” เซี่ยวซุ่ยรู้สึกกังวลไม่น้อย หลังจากที่ลองพูดคุยกับร้านค้าต่าง ๆ เรือสำเภาที่มาทำการค้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มาติดต่อกับนิกายเทพสมุทร หาใช่พ่อค้าทั่ว ๆ ไปไม่ หากไม่มีนิกายเทพสมุทรแล้ว แน่นอนว่าการค้าขายของคนพวกนั้นก็คงไม่มีอีกต่อไป


“ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนต้องการที่จะออกจากเกาะแห่งนี้ กลับไปยังดินแดนเกิดของพวกเขา หากท่านสามารถพาพวกเขากลับไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ พวกเขาต้องยินดีเป็นแน่” ไหไห่ตอบกลับไป


“ด้วยกำลังของข้า การกำจัดนิกายเทพสมุทรไม่ใช่เรื่องยาก อีกราวหนึ่งเดือนเนี่ยลี่จึงจะเดินทางมาหาพวกเรา การพาคนเหล่านั้นกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เป็นสิ่งที่เนี่ยลี่สามารถทำได้ ข้ากังวลเรื่องการใช้ชีวิตของชาวเมืองระหว่างนั้น” ลู่เพียวพูดออกไปด้วยความกังวลเช่นกัน แม้ว่าเขาจะได้รับการชี้แนะเรื่องการปกครองกองกำลัง แต่การปกครองชาวเมืองนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมากเกินไป


“และการบุกจู่โจมหากไม่ทำอย่างรอบคอบ ประมุขของนิกายเทพสมุทรอาจจะรายงานเรื่องนี้ให้แก่บริวารแห่งเทพทราบได้ ซึ่งจะทำให้แผนของเนี่ยลี่พลิกผันได้” เซี่ยวซุ่ยครุ่นคิดแล้วพูดออกไป


“ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับพวกท่านหรือไม่ ในอีกสามวันข้างหน้าจะมีการจัดการประลองยุทธขึ้น หากชาวเมืองคนใดที่มีฝีมือจะสามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังในนิกายเทพสมุทรได้ ซึ่งประมุขของนิกายเทพสมุทรจะมานั่งชมการประลองด้วยตนเอง” ไหไห่พูดแทรกขึ้นมา การประลองนี้ถูกจัดขึ้นทุกเดือน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้นิกายเทพสมุทร


“นับว่ามีประโยชน์ยิ่งนัก ลู่เพียวเจ้าต้องเข้าร่วมการประลองและถ่วงเวลาให้ข้ามากที่สุด ข้าจะลอบเข้าไปขโมยกระจกข้ามภพมา” เซี่ยวซุ่ยคิดแผนขึ้นมาได้ทันที ที่ได้ยินคำพูดของไหไห่


“เจ้ารู้เช่นนั้นหรือว่า กระจกข้ามภพถูกเก็บอยู่ที่ใด?” ลู่เพียวแย้งขึ้นมา การหากระจกข้ามภพโดยไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด เป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย


“ข้าสามารถช่วยนำทางได้ ข้าไม่รู้ว่ากระจกข้ามภพนั้นอยู่ที่ใด แต่ข้ารู้เส้นทางในนิกายเทพสมุทรเป็นอย่างดี” ไหไห่เสนอตัวช่วยเหลือ


“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องฝากภรรยาข้าไว้กับเจ้าแล้ว” ลู่เพียวพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับไหไห่ หากมีคนช่วยนำทาง เขาก็คลายกังวลได้ไม่น้อย


“เห็นใดพี่สาวจึงได้เลือกชายผู้นี้เป็นสามี?” ไหไห่ถามด้วยความสงสัย ลู่เพียวเป็นผู้ชายที่ดูแล้วไม่มีทั้งไหวพริบและฝีมือ


“หากมองผิวเผินลู่เพียวอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่พึ่งพาได้มากกว่าที่เจ้าคิด” เซี่ยวซุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้ม ชายที่นางเลือกฝากชีวิตเอาไว้ ย่อมไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่ได้ความเป็นแน่


เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่เพียวก็ยืดอกด้วยความภูมิใจ ทำให้ไหไห่และเซี่ยวซุ่ยอดที่จะหัวเราไม่ได้


สามวันต่อมาลานต่อสู้ชั่วคราวได้ถูกสร้างที่หน้ารูปปั้นบริวารแห่งเทพ การประลองถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ลานประลองของชาวเมืองที่ต้องการเข้าร่วมในกองกำลังของนิกายเทพสมุทร และเมื่อจบลงจะเป็นการประลองของกองกำลังนิกายเทพสมุทรเอง ต่อสู้กันเพื่อจัดอันดับภายใน


เมื่อเห็นว่าประมุขของนิกายเทพสมุทรเดินทางมา ไหไห่ก็แจ้งกับทั้งสองคนทันที เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มีผมสีดำ ใบหน้าดุดัน มีหนวดและเคราไม่ยาวนัก ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า


“นั่นคือประมุขหงไห่ [ทะเลที่ยิ่งใหญ่] พี่สาวพวกเราไปกันได้แล้ว” ไหไห่บอกกับเซี่ยวซุ่ย และรีบพาเซี่ยวซุ่ยไปยังช่องทางลับทันที เนื่องจากเดิมทีเกาะนี้เป็นสุสานเก่าจึงมีเส้นทางลับที่ไม่มีใครรู้จักอยู่หลายจุด สามารถใช้ลอดผ่านกำแพงของนิกายเข้าไปได้


“ด้วยคำชี้นำของบริวารแห่งเทพ ข้าขอประกาศเริ่มการประลองได้แล้ว” ประมุขหงไห่ยืนอยู่ตรงด้านหน้ารูปปั้นของบริวารแห่งเทพและประกาศเริ่มการประลองในทันที


สำหรับการปรอลองของชาวเมือง มีผู้ที่สมัครเข้าร่วมถึงสี่ร้อยคน เนื่องจากหากได้คัดเลือกให้เข้าร่วมกับกองกำลังของนิกายเทพสมุทรพวกเขาก็จะได้รับอาหาร เงินทองโดยไม่ต้องลำบากอีกต่อไป และเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก จึงมีการคัดเลือกโดยการแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มและให้ต่อสู้กันครั้งละหนึ่งร้อยคนโดยห้ามใช้อาวุธ ซึ่งผู้ที่เหลือรอดของแต่ละกลุ่มจะมาต่อสู้จัดอันดับกันอีกครั้ง ลู่เพียวนั้นอยู่ในกลุ่มที่สี่ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย


การประลองในสามกลุ่มแรกนั้นใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม [สองชั่วโมง] ผู้เข้าร่วมประลองส่วนใหญ่จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับดาราสวรรค์และแก่นแท้แห่งสวรรค์ เพราะยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรนั้นจะถูกดึงให้เข้าร่วมในกองกำลังโดยไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง ลู่เพียวนั้นพกศิลาเร้นเมฆาไว้หลายชิ้น เพื่อปกปิดระดับพลังของเขาให้อยู่เพียงแค่ระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น


ทางด้านไหไห่กับเซี่ยวซุ่ยนั้นสามารถลอบเข้าไป ในตำหนักของประมุขนิกายได้แล้ว ไหไห่พยายามพาเซี่ยวซุ่ยไปยังห้องลับต่าง ๆ แต่ก็พบเพียงห้องสมบัติทั่ว ๆ ไปเท่านั้น เซี่ยวซุ่ยจึงหันไปพูดกับไหไห่ว่า “กระจกข้ามภพ เป็นกระจกที่ใช้ติดต่อกับบริวารแห่งเทพ ดังนั้นมันควรจะถูกซ่อนไว้ในห้องลับที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุด เจ้ารู้จักสถานที่เช่นนั้นหรือไม่”


“ตำแหน่งที่สูงที่สุดของเกาะแห่งนี้คือที่ภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ข้าได้ยินมาว่าประมุขหงไห่ได้สร้างตำหนักไว้ที่นั่นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อน” ไหไห่ตอบกลับไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเซี่ยวซุ่ย พวกเขาเสียเวลาอยู่ในตำหนักแห่งนี้มาหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงรีบเดินทางไปยังภูเขาด้านหลังทันที............จบตอน


แต่งโดย นายมะพร้าว


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง