“ไหไห่
ขอให้เจ้าฟังเรื่องของพวกเราก่อน!”
เซี่ยวซุ่ยพูดออกไป โดยไม่มีท่าทีที่คิดร้าย
“พวกท่านมายังเกาะแห่งนี้ด้วยเหตุใดกัน?” ไหไห่ถามออกไป ในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“อีกราวสองปีหลังจากนี้
จะมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น ผู้นำของอีกฝ่ายคือจักรพรรดิปราชญ์และบริวารแห่งเทพ
พวกมันคิดจะทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
สหายของข้าเป็นผู้มีชะตะต้องต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์
พวกข้านั้นต้องการทำหน้าที่สนับสนุนเขา
และที่พวกเรามายังเกาะแห่งนี้เพื่อที่จะตามหา กระจกข้ามภพ ที่เผ่าอสูรใช้ติดต่อกับบริวารแห่งเทพ”
เซี่ยวซุ่ยอธิบายอย่างช้า ๆ
“พวกข้าแค่ต้องการตัดกำลังสนับสนุนของจักรพรรดิปราชญ์และบริวารแห่งเทพเท่านั้น”
ลู่เพียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เซ่ยวซุ่ยพูดสนับสนุน
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของจักรพรรดิปราชญ์มาก่อน
แต่หากเป็นบริวารแห่งเทพ ข้าได้ยินชื่อนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
นิกายเทพสมุทรนับถือเขาราวกับเป็นเทพผู้ปกครองโลกนี้” ไหไห่พูดพร้อมกับส่ายหน้า
“อะไรกัน! ไม่ใช่ว่า บริวารแห่งเทพนั้นควบคุมนิกายเทพวิญญาณหรอกหรือ
เหตุใดจึงกลายเป็นนิกายเทพสมุทรไปได้” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ข้าคือชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้
เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า เกาะวิญญาณล่องลอย
มันเป็นสุสานกลางทะเลและพวกข้ามีหน้าที่เฝ้าดูแล”
ไหไห่เริ่มเล่าถึงที่มาของเกาะแห่งนี้ให้ทั้งสองคนฟัง
“มีความเชื่อว่าหากได้นำศพมาฝังไว้ที่เกาะแห่งนี้
ดวงวิญญาณจะสามารถขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ได้
ดังนั้นแม้ว่าจะต้องฝ่าคลื่นลมมาด้วยความยากลำบาก
ก็ยังมีคนที่พยายามนำศพมาฝังที่เกาะแห่งนี้
แต่ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่มีคนกลุ่มหนึ่งล่องเรือมายังเกาะแห่งนี้”
ไหไห่เล่าด้วยความเจ็บแค้น
“เจ้าหมายถึงพวกนิกายเทพสมุทรเช่นนั้นหรือ?” เซี่ยวซุ่ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ถูกต้องแล้ว
ท่านปู่ของข้าเล่าให้ข้าฟังว่า หลังจากที่คนพวกนั้นขึ้นมาบนเกาะ
ก็เริ่มที่จะยึดครองพื้นที่และสร้างนิกายเทพสมุทรขึ้นมา
เหล่าวิญญาณที่เคยอยู่อย่างสงบจึงไม่อาจขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ได้ และกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน
พวกนิกายเทพสมุทรจึงได้ปั้นน้ำเป็นตัวว่า วิญญาณเหล่านั้นกลายเป็นอสูร
และเป็นสาวกของนิกายเทพวิญญาณที่ไม่มีอยู่จริง
จากนั้นก็ประกาศตัวออกไปว่านี่คืออาณาจักรแห่งใหม่ที่ถูกค้นพบ” ไหไห่ตอบกลับไป
ในตอนนี้เขากำหมัดจนแน่น
“หากที่เจ้าเล่ามาเป็นความจริง
เหตุใดชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะจึงไม่ขัดขวางพวกเขา?”
ลู่เพียวแย้งกลับไป
“เพราะทำเช่นนั้นไงเล่า
ข้าจึงต้องอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง” ไหไห่ตะโกนตอบกลับไปพร้อมกับร้องไห้
“หากเป็นดั่งที่เจ้าพูดมา
วิญญาณของครอบครัวเจ้าก็ยังล่องลอยอยู่ใกล้ ๆ เกาะแห่งนี้ ถ้าหากจะพูดให้ถูกต้อง
วิญญาณของพวกเขาอยู่ที่เกาะที่ถูกเรียกว่านิกายเทพวิญญาณสินะ”
เซี่ยวซุ่ยมองผ่านหน้าต่างออกไปยังเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ
“บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมหรือไม่?”
ลู่เพียวนึกขึ้นได้จึงถามออกไป
“เดิมทีไม่มีบ่อน้ำที่ว่านี้อยู่บนเกาะมาก่อน
พวกเขาพูดกันว่าเป็นสิ่งที่ได้ประทานมาจากบริวารแห่งเทพ” ไหไห่ตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้น
พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมือง หากทุกอย่างเป็นดั่งที่เจ้าเล่า
พวกเราจะมาพูดคุยกันอีกครั้ง
แต่ในตอนนี้ข้ารับปากว่าจะไม่ทำสิ่งใดเกินเลยไปกว่าการหาความจริงเท่านั้น”
เซี่ยวซุ่ยพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร
หลังจากนั้นไหไห่ก็กลับไปยังห้องของเขา
เขาพูดกับตัวเองว่า “ข้าหวังว่าเขาจะเป็นผู้กอบกู้ที่ท่านปู่เคยบอกไว้
หากไม่เป็นเช่นนั้น ชีวิตของข้าคงต้องจบลงเป็นแน่”
ไหไห่เป็นชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะคนสุดท้ายที่ได้รับรู้ความจริงของเกาะนี้
ปู่เขาเคยบอกเอาไว้ว่าสักวันจะมีผู้กอบกู้เดินทางมาทำให้เกาะนี้เป็นเกาะที่สงบเช่นเดิม
บิดาของเขาพยายามพูดความจริงในเรื่องนี้ แต่ก็ต้องถูกพวกนิกายเทพสมุทรสังหาร
การที่เขายอมเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยฟัง
เพราะเขามั่นใจว่าทั้งสองคนเป็นคนจากภายนอก และไม่ใช่พวกของนิกายเทพสมุทร
เนื่องจากยอมจ่ายเงินให้แก่เขา เพื่อให้เขาพาเข้าไปในเมือง
เพราะหากเป็นคนของนิกายเทพสมุทร พวกเขาไม่มีทางยอมจ่ายเงินให้อย่างแน่นอน
“หากเรื่องจริงเป็นดั่งที่ไหไห่เล่ามา
พวกเราควรจะทำเช่นใดกัน?” ลู่เพียวพูดพร้อมกับถอนหายใจ เขาเตรียมใจที่จะมาสู้กับอสูร
ไม่ใช่สู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง
“ข้าเองก็หนักใจเช่นกัน
แต่หากคนเหล่านั้นเป็นสาวกของบริวารแห่งเทพนั่นก็เป็นอีกเรื่อง
หากนับถืออสูรเป็นพระเจ้า คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากพวกอสูร” เซี่ยวซุ่ยพูดขึ้นมา
“มิน่าเล่าเนี่ยลี่จึงพูดว่า
ให้ทำเท่าที่ทำได้ เพราะสำหรับข้าแล้วมันเรื่องที่ทำใจได้ยาก”
ลู่เพียวนึกถึงคำพูดของเนี่ยลี่อีกครั้ง
“บางทีเนี่ยลี่อาจจะไม่รู้ความจริงในเรื่องนี้ก็เป็นได้
เขาย้อนกลับมาจากสองร้อยปีข้างหน้า ในตอนนั้นไหไห่อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
หมายความว่าย่อมไม่มีผู้ใดที่รู้ความจริงในเรื่องนี้” เซี่ยวซุ่ยแย้งกลับไป
“พวกเราจะรู้ความจริงหลังจากเข้าไปในเมืองวันพรุ่งนี้”
ลู่เพียวพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอน
เช้าวันต่อมาไหไห่ได้พาลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยเข้าไปในเมือง
ที่ดูแล้วก็ไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ที่เขาเคยเห็นเท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก
พวกเขาคือคนที่ถูกพามาบนเกาะแห่งนี้และไม่สามารถเดินทางกลับออกไปจากเกาะได้
เรือสำเภาที่เข้ามาซื้อขายจะปฏิเสธที่จะพาพวกเขากลับไปยังดินแดนเกิดของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ทำงานหาเลี้ยงชีพ
เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่บนเกาะแห่งนี้เท่านั้น
เมืองถูกแบ่งเป็นสองส่วน
คือส่วนของชาวเมืองและส่วนของนิกายเทพสมุทร ที่ด้านหน้าของทางเข้านิกายเทพสมุทร
จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ เป็นรูปปั้นของชายที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุม
และมีป้ายสลักเอาไว้ด้านล่างว่า บริวารแห่งเทพ และที่เท้าของรูปปั้นมีบ่อน้ำเล็ก ๆ
อยู่ ตรงนั้นก็คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งก็มีกองกำลังของนิกายเทพสมุทรยืนเฝ้าเอาไว้
เซี่ยวซุ่ยได้เข้าไปพักในโรงเตี๊ยมและขอให้ไหไห่หาซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน
เพื่อให้ดูกลมกลืนกับชาวเมือง ซึ่งแน่นอนว่าลู่เพียวเองก็เช่นกัน พวกเขาพักอยู่ในเมืองเป็นเวลาหลายวันเพื่อหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด
“พวกท่านเชื่อสิ่งที่ข้าเล่าแล้วใช่หรือไม่?” ไหไห่ถามพร้อมกับมองที่พวกเขาทั้งสอง
“ข้ายังมีเรื่องที่สงสัย
หากพวกข้าสามารถกำจัดนิกายเทพสมุทรได้ ชาวเมืองเหล่านี้จะอยู่กันเช่นใด?” เซี่ยวซุ่ยรู้สึกกังวลไม่น้อย
หลังจากที่ลองพูดคุยกับร้านค้าต่าง ๆ
เรือสำเภาที่มาทำการค้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มาติดต่อกับนิกายเทพสมุทร
หาใช่พ่อค้าทั่ว ๆ ไปไม่ หากไม่มีนิกายเทพสมุทรแล้ว
แน่นอนว่าการค้าขายของคนพวกนั้นก็คงไม่มีอีกต่อไป
“ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนต้องการที่จะออกจากเกาะแห่งนี้
กลับไปยังดินแดนเกิดของพวกเขา หากท่านสามารถพาพวกเขากลับไปยังแผ่นดินใหญ่ได้
พวกเขาต้องยินดีเป็นแน่” ไหไห่ตอบกลับไป
“ด้วยกำลังของข้า
การกำจัดนิกายเทพสมุทรไม่ใช่เรื่องยาก
อีกราวหนึ่งเดือนเนี่ยลี่จึงจะเดินทางมาหาพวกเรา การพาคนเหล่านั้นกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เป็นสิ่งที่เนี่ยลี่สามารถทำได้
ข้ากังวลเรื่องการใช้ชีวิตของชาวเมืองระหว่างนั้น”
ลู่เพียวพูดออกไปด้วยความกังวลเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะได้รับการชี้แนะเรื่องการปกครองกองกำลัง
แต่การปกครองชาวเมืองนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมากเกินไป
“และการบุกจู่โจมหากไม่ทำอย่างรอบคอบ
ประมุขของนิกายเทพสมุทรอาจจะรายงานเรื่องนี้ให้แก่บริวารแห่งเทพทราบได้
ซึ่งจะทำให้แผนของเนี่ยลี่พลิกผันได้” เซี่ยวซุ่ยครุ่นคิดแล้วพูดออกไป
“ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับพวกท่านหรือไม่
ในอีกสามวันข้างหน้าจะมีการจัดการประลองยุทธขึ้น
หากชาวเมืองคนใดที่มีฝีมือจะสามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังในนิกายเทพสมุทรได้
ซึ่งประมุขของนิกายเทพสมุทรจะมานั่งชมการประลองด้วยตนเอง” ไหไห่พูดแทรกขึ้นมา
การประลองนี้ถูกจัดขึ้นทุกเดือน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้นิกายเทพสมุทร
“นับว่ามีประโยชน์ยิ่งนัก
ลู่เพียวเจ้าต้องเข้าร่วมการประลองและถ่วงเวลาให้ข้ามากที่สุด
ข้าจะลอบเข้าไปขโมยกระจกข้ามภพมา” เซี่ยวซุ่ยคิดแผนขึ้นมาได้ทันที
ที่ได้ยินคำพูดของไหไห่
“เจ้ารู้เช่นนั้นหรือว่า
กระจกข้ามภพถูกเก็บอยู่ที่ใด?”
ลู่เพียวแย้งขึ้นมา การหากระจกข้ามภพโดยไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด
เป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
“ข้าสามารถช่วยนำทางได้
ข้าไม่รู้ว่ากระจกข้ามภพนั้นอยู่ที่ใด
แต่ข้ารู้เส้นทางในนิกายเทพสมุทรเป็นอย่างดี” ไหไห่เสนอตัวช่วยเหลือ
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องฝากภรรยาข้าไว้กับเจ้าแล้ว”
ลู่เพียวพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับไหไห่ หากมีคนช่วยนำทาง
เขาก็คลายกังวลได้ไม่น้อย
“เห็นใดพี่สาวจึงได้เลือกชายผู้นี้เป็นสามี?” ไหไห่ถามด้วยความสงสัย
ลู่เพียวเป็นผู้ชายที่ดูแล้วไม่มีทั้งไหวพริบและฝีมือ
“หากมองผิวเผินลู่เพียวอาจจะเป็นเช่นนั้น
แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่พึ่งพาได้มากกว่าที่เจ้าคิด” เซี่ยวซุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้ม
ชายที่นางเลือกฝากชีวิตเอาไว้ ย่อมไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่ได้ความเป็นแน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่เพียวก็ยืดอกด้วยความภูมิใจ
ทำให้ไหไห่และเซี่ยวซุ่ยอดที่จะหัวเราไม่ได้
สามวันต่อมาลานต่อสู้ชั่วคราวได้ถูกสร้างที่หน้ารูปปั้นบริวารแห่งเทพ
การประลองถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ
ลานประลองของชาวเมืองที่ต้องการเข้าร่วมในกองกำลังของนิกายเทพสมุทร
และเมื่อจบลงจะเป็นการประลองของกองกำลังนิกายเทพสมุทรเอง
ต่อสู้กันเพื่อจัดอันดับภายใน
เมื่อเห็นว่าประมุขของนิกายเทพสมุทรเดินทางมา
ไหไห่ก็แจ้งกับทั้งสองคนทันที เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มีผมสีดำ
ใบหน้าดุดัน มีหนวดและเคราไม่ยาวนัก
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
“นั่นคือประมุขหงไห่ [ทะเลที่ยิ่งใหญ่] พี่สาวพวกเราไปกันได้แล้ว”
ไหไห่บอกกับเซี่ยวซุ่ย และรีบพาเซี่ยวซุ่ยไปยังช่องทางลับทันที
เนื่องจากเดิมทีเกาะนี้เป็นสุสานเก่าจึงมีเส้นทางลับที่ไม่มีใครรู้จักอยู่หลายจุด
สามารถใช้ลอดผ่านกำแพงของนิกายเข้าไปได้
“ด้วยคำชี้นำของบริวารแห่งเทพ
ข้าขอประกาศเริ่มการประลองได้แล้ว”
ประมุขหงไห่ยืนอยู่ตรงด้านหน้ารูปปั้นของบริวารแห่งเทพและประกาศเริ่มการประลองในทันที
สำหรับการปรอลองของชาวเมือง
มีผู้ที่สมัครเข้าร่วมถึงสี่ร้อยคน
เนื่องจากหากได้คัดเลือกให้เข้าร่วมกับกองกำลังของนิกายเทพสมุทรพวกเขาก็จะได้รับอาหาร
เงินทองโดยไม่ต้องลำบากอีกต่อไป และเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก จึงมีการคัดเลือกโดยการแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มและให้ต่อสู้กันครั้งละหนึ่งร้อยคนโดยห้ามใช้อาวุธ
ซึ่งผู้ที่เหลือรอดของแต่ละกลุ่มจะมาต่อสู้จัดอันดับกันอีกครั้ง
ลู่เพียวนั้นอยู่ในกลุ่มที่สี่ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย
การประลองในสามกลุ่มแรกนั้นใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม
[สองชั่วโมง] ผู้เข้าร่วมประลองส่วนใหญ่จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับดาราสวรรค์และแก่นแท้แห่งสวรรค์
เพราะยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรนั้นจะถูกดึงให้เข้าร่วมในกองกำลังโดยไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง
ลู่เพียวนั้นพกศิลาเร้นเมฆาไว้หลายชิ้น เพื่อปกปิดระดับพลังของเขาให้อยู่เพียงแค่ระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น
ทางด้านไหไห่กับเซี่ยวซุ่ยนั้นสามารถลอบเข้าไป
ในตำหนักของประมุขนิกายได้แล้ว ไหไห่พยายามพาเซี่ยวซุ่ยไปยังห้องลับต่าง ๆ
แต่ก็พบเพียงห้องสมบัติทั่ว ๆ ไปเท่านั้น เซี่ยวซุ่ยจึงหันไปพูดกับไหไห่ว่า
“กระจกข้ามภพ เป็นกระจกที่ใช้ติดต่อกับบริวารแห่งเทพ
ดังนั้นมันควรจะถูกซ่อนไว้ในห้องลับที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุด
เจ้ารู้จักสถานที่เช่นนั้นหรือไม่”
“ตำแหน่งที่สูงที่สุดของเกาะแห่งนี้คือที่ภูเขาที่อยู่ด้านหลัง
ข้าได้ยินมาว่าประมุขหงไห่ได้สร้างตำหนักไว้ที่นั่นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อน”
ไหไห่ตอบกลับไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเซี่ยวซุ่ย
พวกเขาเสียเวลาอยู่ในตำหนักแห่งนี้มาหนึ่งชั่วยามแล้ว
จึงรีบเดินทางไปยังภูเขาด้านหลังทันที............จบตอน