เมื่อเดินทางมาถึงนิกายพิทักษ์สวรรค์
และมาพบกับหลี่ชิงอวิ๋นแล้ว กู้เบ่ยจึงขอตัวแยกตัวไปยังอาณาจักรธาราสวรรค์ทันที
จากนั้นเนี่ยลี่ได้พาหลี่ชิงอวิ๋นเข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เนื่องจากดาบของเขานั้นตีเสร็จแล้ว
เมื่อเข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
และเดินไปหาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงที่กำลังทำอาวุธชิ้นต่อไปอยู่นั้น
เมื่อเห็นพวกเนี่ยลี่เดินเข้ามา เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก็หยุดมือและพูดออกไปว่า
“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่ต้องการมันเสียแล้ว”
หลังพูดจบเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงได้โยนฝักดาบไปให้แก่หลี่ชิงอวิ๋น
หลี่ชิงอวิ๋นใช้มือซ้ายรับฝักดาบมา ก็พบว่านี่เป็นเพียงฝักดาบเท่านั้น
แต่มิได้มีดาบอยู่เลย
“ชักดาบออกมาสิ” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับหัวเราะที่เห็นท่าทีของหลี่ชิงอวิ๋น
หลี่ชิงอวิ๋นใช้มือขวาจับไปยับด้านบนของฝักดาบที่ว่างเปล่า
ทันใดนั้นในมือของเขาก็มีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ชื่อของมันคือดาบเมฆาสวรรค์ไร้ลักษณ์
รูปร่างของมันจะเปลี่ยนไปดั่งใจของเจ้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดด้วยความภาคภูมิใจในผลงานชิ้นนี้
หลี่ชิงอวิ๋นลองกวัดแกว่าดาบเมฆาสวรรค์ไร้ลักษณ์
พบว่ามีน้ำหนักเบามาก คมมีดสามารถทำให้มีรูปร่างหรือไม่ก็ได้
หากใช้ในการตั้งรับก็สามารถให้ใบมีดมีรูปลักษณ์ที่แข็งดั่งเหล็กกล้าได้
แต่ในยามโจมตีสามารถใช้คมมีดที่เป็นดั่งเมฆหมอกตัดผ่านการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้
เป็นกระบี่วิเศษอย่างแท้จริงทำให้หลี่ชิงอวิ๋นรู้สึกยินดียิ่งนัก
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส
ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง
ข้าจะให้นามของดาบเมฆาสวรรค์ไร้ลักษณ์สร้างชื่อเสียงในยุทธภพนี้ให้จงได้”
หลี่ชิงอวิ๋นประสานมือและก้มหัวขอบคุณเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงอย่างสุภาพ
“ข้านั้นมิได้ต้องการชื่อเสียง
ข้าเพียงแค่ต้องการตีดาบที่คู่ควรให้เหล่าจอมยุทธที่มีคุณธรรมเท่านั้น
และเป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือการกำจัดจักรพรรดิปราชญ์เท่านั้น” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า สงครามนี้จะจบลงเช่นใด
จากนี้ไปเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงจะต้องทำอาวุธอีกห้าชิ้นสำหรับ
เอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ ต้วนเจี้ยน ตู่ซื่อ และฮวาหั่ว
คงต้องใช้เวลาอีกราวหนึ่งเดือนครึ่ง จึงจะสามารถทำได้ครบทุกชิ้น
โชคดีที่เนี่ยลี่ได้เตรียมวัตถุดิบในการสร้างอาวุธเหล่านี้ไว้จนครบแล้ว
จึงไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อวัตถุดิบเหล่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าคงไม่รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว
พวกข้าลาก่อน” เนี่ยลี่และหลี่ชิงอวิ๋นกล่าวลาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
และแวะไปทักทายเซี่ยวซุ่ยและเทพธิดายู่หยาน
ดูเหมือนว่าระดับพลังของเทพธิดายู่หยานใกล้ที่จะบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าเต็มทีแล้ว
ส่วนจินตานที่กลับเข้ามาอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
ยังคงเกาอยู่ที่ต้องไม้แห่งพระเจ้าและทานผลไม้แห่งพระเจ้าเป็นอาหาร
หลังจากนั้นทั้งสองออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไป
เนี่ยลี่ หลี่ชิงอวิ๋น
หลงยู่อิน ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยได้เดินทางไปยังร้านตีอาวุธของฮัวเตี่ย
เพื่อรับอาวุธของหลงยู่อิน เมื่อมาถึงหน้าร้านฮัวเตี่ย ยังไม่ทันที่จะเข้าไปในร้าน
มีดสองเล่มพุ่งออกมาทันที หลงยู่อินใช้มือรับมีดทั้งสองเล่มทันที
“อย่าได้ตกใจ ข้าก็แค่ต้องการเลียนแบบท่านปู่บ้างเท่านั้น”
เสียงของฮัวเตี่ยหัวเราะดังออกมาจากในร้าน นางนั้นตีอาวุธของหลงยู่อินเสร็จแล้ว
และมีการปรับแต่งเพิ่มเติมจากแบบแปลนเดิมอีกเล็กน้อย
“เป็นมีดที่งดงามยิ่งนัก”
หลงยู่อินตรวจสอบดูมีดทั้งสองเล่ม
และพบว่ามีผลึกแก้วฝังอยู่ตรงปลายด้ามมีดทั้งสองเล่ม เล่มหนึ่งมีผลึกสีแดง
อีกเล่มเป็นผลึกสีเขียว
“ตรงส่วนนั้นข้าเป็นผู้ทำเพิ่มให้เอง
ข้าได้รับผลึกทั้งสองมาระหว่างที่กำลังตีมีดทั้งสองเล่มให้เจ้า ผลึกสีแดงสามารถใช้พลังแห่งอัคคีได้
ส่วนผลึกสีเขียวมีพลังแห่งสายฟ้าสถิตอยู่ ชื่อของมีดทั้งสองเล่มนี้คือ
มีดเขี้ยวมังกรเพลิง และ มีดเขี้ยวมังกรอัสนี
ข้ารับรองว่าจะต้องไม่ด้อยกว่าผลงานของท่านปู่เป็นแน่”
ฮัวเตี่ยอธิบายด้วยความภาคภูมิใจ นางดัดแปลงทั้งตัวมีดและชื่อของมัน แต่ผลงานชิ้นก็มิได้ด้อยกว่าแบบแปลนเดิมที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ดั่งที่นางพูดเอาไว้
“สมแล้วที่เป็นมีดวิเศษระดับพระเจ้า”
หลงยู่อินพึงพอใจกับมีดสองเล่มนี้เป็นอย่างมาก
“จากนี้ไปคงต้องฝากอาณาจักรแห่งนี้ไว้กับพี่อวิ๋นและยู่อินแล้ว
หากกู้เบ่ยร้องของกำลังสนับสนุน ข้าคงต้องให้พี่ชิงอวิ๋นช่วยเหลือแล้ว”
เนี่ยลี่หันไปพูดกับหลี่ชิงอวิ๋น
“หากมีเรื่องใดให้ข้าช่วยเหลือ
เจ้าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” หลี่ชิงอวิ๋นตอบกลับไป
เขาติดหนี้บุญคุณมากมายเกิดกว่าที่จะชดใช้ได้หมด
“ข้าคิดว่าจะส่งลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยไปยังอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ
และคงต้องรอให้อาวุธของคนอื่น ๆ สำเร็จก่อนจึงจะให้ออกเดินทาง
ซึ่งในช่วงนี้ข้าคงต้องทำการบ่มเพาะพลังให้ถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าให้เร็วที่สุด”
เนี่ยลี่ตอบกลับไป ในตอนนี้เหลือเพียงเทพธิดายู่หยาน
และตัวเขาเท่านั้นที่ยังไม่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
“หากกู้เบ่ยร้องขอกำลังสนับสนุนมา
ข้าจะดำเนินการให้ทันที เจ้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้”
หลี่ชิงอวิ๋นรับปากอย่างหนักแน่น
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็ได้เปิดเส้นทางสวรรค์
เพื่อเดินทางไปยังอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ โดยจุดหมายอยู่ตรงชายฝั่งนอกเขตเมือง
อาณาจักรวิญญาณสาบสูญเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลอันบ้าคลั่ง
มีเพียงเรือขนาดใหญ่ที่แวะเข้ามาในบางครั้ง
เนี่ยลี่ได้มอบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยไว้จำนวนหนึ่งล้านก้อน
เท่ากับที่มอบให้กู้เบ่ยไป ในการทำศึกเงินทุนนับเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย
“ข้าจะกลับมาที่นี่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
พวกเจ้าจงทำเท่าที่สามารถทำได้”
เนี่ยลี่พูดก่อนที่จะเดินทางผ่านเส้นทางสวรรค์กลับไป
“ทำเท่าที่ทำได้
คำพูดเช่นนี้หมายความเช่นใดกัน
นี่ดูราวกับเนี่ยลี่ไม่เชื่อในความสามารถของข้าเช่นนั้นหรือ?” ลู่เพียวบ่นกับเซี่ยวซุ่ยหลังจากที่เนี่ยลี่กลับไป
“หากเนี่ยลี่ไม่ไว้ใจเจ้า
ก็คงไม่มอบภารกิจนี้ให้แก่เจ้า เขาพูดเช่นนั้นเพื่อเจ้าจะได้ไม่กดดันมากนัก”
เซี่ยวซุ่ยพูดปลอบใจลู่เพียว
“ถ้าเช่นนั้น
ในเวลาหนึ่งเดือนพวกเราจะยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ ให้เนี่ยลี่ได้เห็นฝีมือของข้า”
ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกมุ่งมั่นเต็มที่
“ปัญหาก็คือ
พวกเราไม่มีข้อมูลอันใดเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งนี้แม้แต่น้อย”
เซี่ยวซุ่ยนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่พร้อมกับครุ่นคิด
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราคงต้องหาทางเข้าไปในเมืองกันก่อน”
ลู่เพียวพยักหน้าตอบรับ
“หากต้องการเข้าไปในเมืองข้าสามารถนำทางให้พวกท่านได้นะ!” มีเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
จากริมชายฝั่งที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้าเป็นใครกัน?” ลู่เพียวหันไปมองและพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเด็กชายอายุราวสิบสามปี
หน้าตามอมแมม สวมชุดชาวประมง ถือคันเบ็ดอยู่ในมือพร้อมกับปลาอีกหลายตัว
“ข้าชื่อว่า ไหไห่ [ลูกทะเล] เป็นชาวประมงที่พักอยู่ใกล้
ๆ นี่” ไหไห่ชี้ไปยังกระท่อมของตนที่อยู่ไกลออกไป
“เจ้าสามารถพาพวกเข้าไปในเมืองได้เช่นนั้นหรือ?” ลู่เพียวถามออกไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กลู่เพียวจึงคลายกังวล
“หากท่านมีเงิน
ข้าก็จะนำทางให้” ไห่ไห่พูดพร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้า
“เจ้าต้องการเท่าใดกัน?” เซี่ยวซุ่ยเดินมาหาไหไห่และถามออกไป
“ข้าต้องการศิลาจิตวิญญาณจำนวนห้าก้อน”
ไหไห่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
เมื่อได้ยินคำพูดของไหไห่
ลู่เพียวก็อดที่จะแอบยิ้มไม่ได้ ศิลาจิตวิญญาณแค่ห้าก้อนนั้น
เป็นเพียงแค่เงินจำนวนน้อยนิดสำหรับเขาในตอนนี้
“ไหไห่
พี่สาวยินดีที่จะให้เจ้านำนวนหนึ่งร้อยก้อน หากเจ้ายอมให้พี่สาวและพี่ชายผู้นี้ ไปพักที่บ้านของเจ้าสักคืน”
เซี่ยวซุ่ยยิ้มและตอบกลับไป
“ข้านั้นพักอยู่เพียงลำพัง
หากพวกท่านไม่รังเกียจข้าก็ไม่มีปัญหาอันใด” ไหไห่ตอบรับด้วยความยินดี
ศิลาจิตวิญญาณจำนวนร้อยก้อนนั้น
ปกติเขาต้องหาปลาหลายสิบตัวจึงจะเอาไปขายได้เงินมากถึงเพียงนั้น
หลังจากที่ได้รับศิลาจิตวิญญาณร้อยก้อนจากเซี่ยวซุ่ย
ไหไห่ก็พาทั้งสองไปยังกระท่อม ที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็กั้นห้องเอาไว้อย่างเป็นอย่างดี
เป็นกระท่อมที่สามารถพักอยู่ได้สี่ถึงห้าคนเลยทีเดียว
ไหไห่นำปลาที่เขาจับได้ไปย่างเป็นอาหารมาให้แก่ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ย
เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว
เซี่ยวซุ่ยจึงเรียกไหไห่มาสอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่ว ๆ ไปของอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ
และได้ความว่า
อาณาจักรวิญญาณสาบสูญ
เป็นหมู่เกาะที่ถูกปกครองด้วยนิกายสองนิกาย คือนิกายเทพสมุทร ของมนุษย์
และนิกายเทพวิญญาณ ของเผ่าอสูร เกาะใหญ่ที่อาศัยอยู่นี้เป็นพื้นที่ของนิกายเทพสมุทร
และเกาะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเป็นพื้นที่ของนิกายเทพวิญญาณ
ทั้งสองเกาะมีเส้นทางใต้ดินที่เชื่อมต่อกัน
แต่มีลักษณะเป็นเขาวงกตที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถผ่านออกไปได้ ดังนั้นการเผชิญหน้ากันระหว่างสองนิกายจึงมักจะเป็นทางทะเลเป็นหลัก
“บนเกาะทั้งสองยอดฝีมือส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดกัน?” ลู่เพียวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับทั่ว
ๆ ไปคือ ชะตาสวรรค์ ดาราสวรรค์ หรือแก่นแท้แห่งสวรรค์
ยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรและระดับเทพสงครามนั้นมีไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น แต่ท่านต้องทราบเอาไว้เรื่องหนึ่ง
พวกนิกายเทพวิญญาณส่วนใหญ่นั้นไร้ซึ่งร่างกาย เป็นอสูรประเภทวิญญาณ
ไม่สามารถใช้อาวุธทั่วไปในการโจมตีพวกมันได้” ไหไห่รีบอธิบายออกไป
“ถ้าเช่นนั้แล้วนิกายเทพสมุทร
ใช้วิธีใดในการรับมือพวกนิกายเทพวิญญาณ” เซี่ยวซุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
หากไม่สามารถโจมตีพวกอสูรได้ เหตุใดนิกายแห่งนี้จึงยังอยู่รอดมาได้ หากไม่สามารถโจมตีพวกอสูรได้นิกายนิกายเทพสมุทรควรจะล่มสลายไปนานแล้ว
“ในนิกายเทพสมุทรมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่
หากนำน้ำศักดิ์สิทธิ์มาราดลงอาวุธ ก็จะสามารถโจมตีอสูรพวกนั้นได้
แต่ไม่อนุญาตให้คนนอกนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปใช้โดยเด็ดขาด” ไหไห่นิ่งเงียบไปราวกับไม่ต้องการตอบ
แต่สุดท้ายก็พูดขึ้นมา
“มีหนทางแต่ก็ไม่อาจใช้ได้
ดุเหมือนว่าหากคิดที่จะยึดครองอาณาจักรแห่งนี้
คงต้องใช้กำลังยึดครองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มาก่อน” ลู่เพียวพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่าย
“เนี่ยลี่บอกว่าด้วยวรยุทธของข้าจะสามารถยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ได้
หมายความว่าข้าสามารถใช้เสียงในการต่อสู้กับพวกมันได้”
เซี่ยวซุ่ยคิดถึงคำพูดของเนี่ยลี่ขึ้นมาได้จึงและเผลอพูดออกไปเช่นกัน
“พวกท่านคิดจะยึดครองอาณาจักรแห่งนี้
หมายความว่าเช่นใดกัน?” ไหไห่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ไหไห่ฟังข้าพูดก่อน”
เซี่ยวซุ่ยรีบพูดปฏิเสธในทันที
“หากพวกท่านคิดที่จะยึดครองนิกายเทพวิญญาณ
ก็จงข้ามศพข้าไปก่อน” ไหไห่วิ่งไปหยิบเบ็ดมา เพื่อใช้ต่อสู้กับทั้งสองคน
เมื่อได้ยินคำพูดของไหไห่
ทั้งสองคนก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดไหไห่ที่เป็นมนุษย์จึงคิดที่จะปกป้องนิกายเทพวิญญาณที่เป็นของพวกอสูร............จบตอน