เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่
อู่หยาจื่อก็ได้แต่ตกใจ ตำแหน่งประมุขของนิกาย คือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ปรารถนา
แต่เขายังจำได้ดีว่าเนี่ยลี่เคยหลอกลวงเขา
“คิดว่าเจ้าจะสามารถหลอกข้าเป็นครั้งที่สองได้อีกหรือ?” อู่หยาจื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“คุยกันตรงนี้คงไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก
จงตามข้ามา” เนี่ยลี่จับแขนของอู๋หยาจื่อและลากเข้าไปในตำหนักชมจันทร์
“นี่มันที่ใดกัน
พวกเจ้าหลบซ่อนกันที่นี่ และคิดจะลากข้ามาสังหารสินะ
ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องคิดไม่ซื่อเช่นนี้” อู่หยาจื่อตะโกนโหวกเหวกเมื่อได้เข้าในตำหนักชมจันทร์และเห็นว่า
ปรมาจารย์ทั้งสองรวมไปถึงเหยียนหยางและหมิงเยี่ยวู่ซวงเองก็อยู่ในที่แห่งนี้
“หากข้าคิดจะสังหารท่าน
เหตุใดข้าจะต้องพาท่านเข้ามายังตำหนักชมจันทร์ด้วยเล่า”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ อู๋หยาจื่อพูดโวยวายจนเขาต้องรีบบอกให้หยุด
“แล้วเจ้าพาข้ามาด้วยเหตุผลใดกัน?” อู่หยาจื่อถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้ารู้ว่าท่านนั้น
ไม่เคยสนใจเรื่องความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และอสูร
ข้านั้นต้องการของสิ่งหนึ่งในนิกายเทพอสูร หากข้าสามารถทำให้ท่านได้เป็นประมุขนิกาย
ท่านจะต้องมอบสิ่งนั้นให้ข้าเป็นของแลกเปลี่ยน”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยท่าทีที่จริงจังเช่นกัน
“ของสิ่งนั้นคืออะไร? และเจ้าจะใช้วิธีใดกันที่จะให้ข้าได้ตำแหน่งประมุขนิกาย?” อู๋หยาจื่อถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร
แต่เชื่อเถิดว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับท่าน
ส่วนหนทางที่จะให้ท่านได้เป็นประมุขนิกายนั้น เหตุใดจึงต้องถามด้วย
เมื่อท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจ” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับส่ายศรีษะ
“เจ้าคิดจะสังหารหลีหั่วและปรมาจารย์เทพทั้งสี่
ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเผ่าอสูรคิดว่าข้าจะยอมร่วมมือกับเจ้าเช่นนั้นหรือ?” อู่หยาจื่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“หึ ท่านเป็นผู้บอกข้าเองว่าท่านนั้นสืบสายเลือดมาจากอสูรจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์
เป็นสายเลือดแห่งราชันย์ เหตุใดตระกูลของท่านจึงมีเพียงตำแหน่งเล็ก ๆ
มิได้เป็นใหญ่ดั่งปรมาจารย์เทพทั้งสี่ พวกมันก็มิได้สนใจใยดีท่านนัก
เหตุใดท่านจึงต้องเดือดร้อนเพราะพวกมันด้วย”
เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“เจ้า!” อู่หยาจื่อพูดออกมาได้เพียงเท่านี้ก็เงียบไป
ที่เนี่ยลี่พูดมานั้นไม่ผิดนัก
สายเลือดของเขานั้นไม่ได้ด้อยกว่าปรมาจารย์เทพทั้งสี่
แต่กลับได้รับการยกย่องด้วยตำแหน่งอันน้อยนิด แม้แต่หลีหั่วก็ยังดูถูกเขาเช่นกัน
“เมื่อท่านได้เป็นประมุขนิกายเทพอสูร
พวกเราจะทำสัญญาสงบศึกเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และอสูรโดยการขีดเส้นแบ่งดินแดนให้พวกท่านอยู่อย่างสงบ
และข้าจะทำให้ท่านบรรลุระดับเทพสงคราม” เนี่ยลี่ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไป เขาสัมผัสพลังของอู๋หยาจื่อได้ว่ายังอยู่แค่เพียงระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้าเท่านั้น
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่หลอกลวงข้า”
อู่หยาจื่อจับจ้องไปที่ใบหน้าของเนี่ยลี่
ข้อเสนอที่เนี่ยลี่ให้มานับว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่เขาไม่อาจเชื่อใจเนี่ยลี่ได้
“ถ้าเช่นนั้น จงคิดเสียว่ามันคือค่ามัดจำ
จงดื่มมันลงไปซะ!”
เนี่ยลี่หยิบยาทิพย์ขึ้นมาขวดหนึ่งและส่งให้กับอู๋หยาจื่อ
อู่หยาจื่อรับมาด้วยความหวาดระแวงแต่ก็ดื่มลงไปในทันที
ร่างกายของอู่หยาจื่อร้อนดั่งเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้
เขารีบนั่งลงและดูดซับพลังที่เอ่อล้นออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน
อู๋หยาจื่อก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่ท่วมตัว
ระดับพลังของเขาเลื่อนระดับขึ้นไปถึงสองขั้น
และในห้วงขอบเขตวิญญาณของเขายังเหลือพลังให้ดูดซับอีกเป็นจำนวนมาก
“ข้าตกลง
จงบอกแผนการณ์ของเจ้ามา” อู๋หยาจื่อหันไปมองเนี่ยลี่ที่ยืนยิ้มอยู่
หลังจากที่เนี่ยลี่ได้บอกแผนการณ์ที่คิดเอาไว้แก่อู๋หยาจื่อ
และได้นัดหมายกันแล้ว เนี่ยลี่ก็พาอู๋หยาจื่อออกไปจากตำหนักชมจันทร์
จากนั้นก็กลับเข้ามาพักผ่อนสำหรับศึกที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมาเนี่ยลี่และอีกสี่คนได้กลับเข้าไปยังนิกายเทพอสูร
และเข้าไปยังลานประลองอีกครั้ง
ปรมาจารย์เทพทั้งสี่และกองกำลังของนิกายเทพอสูรยังคงรายล้อมอยู่โดยรอบ
“สำหรับในวันนี้จะเป็นการประลองวรยุทธ
หวังว่าทางนิกายเทพอสูรจะออมมือให้ศิษย์ข้าบ้างนะ”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ข้ารู้สึกเบื่อกับการเล่นละครเสแสร้งของเจ้าแล้ว
การประลองในวันนี้หากมีฝ่ายหนึ่งต้องล้มตาย ก็จงอย่าได้โกรธแค้นกัน
หากเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ก็จงไสหัวกลับไปซะ!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เสวียนหมิงเจ้าโหดร้ายยิ่งนัก แค่การประลองเล็กน้อย
จำเป็นต้องสู้กันจนถึงแก่ความตายด้วยหรือ แต่หากเจ้าต้องการเช่นนั้น
เหยียนหยางศิษย์ข้าก็มิใช่คนรักตัวกลัวตายแต่อย่างใด
ถ้าเช่นนั้นเรามาเดิมพันกันอีกสักเล็กน้อยหรือไม่”
ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งทำเป็นถอนหายใจ
“เจ้าจะเดิมพันสิ่งใด” ปรมาจารย์เทพชิงหลงเอ่ยถาม เขาจะไม่ยอมรับข้อเสนอที่เสียเปรียบอย่างแน่นอน
“ข้าไม่รู้ว่านิกายเทพอสูรจะมีสิ่งใดมีค่ามากพอที่จะคู่ควรกับเงินเดิมพันศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งล้านก้อนหรือไม่?” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“เจ้ามีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ถ้าเช่นนั้นหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะเจ้าต้องการสิ่งใดในนิกายเทพอสูรก็จงเลือกไปได้หนึ่งอย่าง
แน่นอนว่ารวมถึงชีวิตของข้าด้วย” ปรมาจารย์เทพไป๋หู่ตอบกลับไป
เขาเชื่อว่าหลีหั่วจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
“ชีวิตเจ้ามีค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือไป่หู่
แต่ข้ายินดีที่จะรับข้อเสนอของเจ้า หลังจากที่ศิษย์ข้าเอาชนะได้
ข้าจะเลือกสมบัติชิ้นหนึ่งในนิกายเทพอสูร หวังว่าพวกเจ้าคงจะรักษาสัจจะ”
ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดังลั่น ทำให้ปรมาจารย์เทพไป๋หู่ไม่พอใจยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้น
ก็จงขึ้นมาบนลานประลองได้แล้ว” หลีหั่วกระโดดขึ้นไปยังลานประลอง
ตัวเขาในเวลานี้ปลดปล่อยลมปราณที่น่ากลัวออกมา เขาบนหัวของเขาที่ดูราวกับเขาของกระทิงดูแล้วแหลมคมยิ่งนัก
กายาสีแดงดั่งเปลวไฟที่ลุกโชน สวมใส่เกราะกระดองทมิฬสีดำ ในมือถือกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวขนาดใหญ่ ระดับพลังของเขานั้นเหนือกว่าผู้ใดในนิกายเทพอสูร
เหยียนหยางหันมามองเนี่ยลี่
ดูเหมือนว่าหากใช้ศิลาเร้นเมฆาปิดกั้นพลังเอาไว้
เขาคงไม่อาจรับมือหลีหั่วได้เป็นแน่ เนี่ยลี่พยักหน้าตอบรับทันที
เหยียนหยางจึงโยนศิลาเร้นเมฆาไปฝากไว้ที่เนี่ยลี่แระกระโจนเข้าไปยังลานประลอง
เหยียนหยางปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าของเขาออกมา
พร้อมกับเผยให้เห็นถึงเกราะเพลิงสวรรค์สีชาด ร่างกายของเขามีไฟลุกโชนขึ้นมา
กองกำลังอสูรที่ล้อมลานประลองอยู่ถึงกับต้องถอยห่างออกไป
ในมือของเหยียนหยางถือฝักกระบี่เพลิงสวรรค์เอาไว้ มิได้ดึงกระบี่ออกจากฝัก
“ลมปราณระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าพวกมุษย์เช่นเจ้าจะต้องมีเล่ห์เหลี่ยม”
หลีหั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยัน
อสูรอย่างเขาต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาแต่พวกมนุษย์ที่อ่อนแอมักจะใช้แผนชั่วอยู่เสมอ
ทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“กระบองเล็บพยัคฆ์!” หลีหั่วฟาดกระบองเหล็กในมือออกไป
หนามบนกระบองแปรเปลี่ยนสภาพดูราวกับกรงเล็บพยัคฆ์
ที่กำลังตะปบลงมาที่ตัวของเหยียนหยาง
“กระบี่เพลิงแหวกสวรรค์”
เหยียนหยางชักกระบี่เพลิงสวรรค์ออกจากฝัก และฟันกระบี่สวนกลับไป เพื่อต้านรับ
ตูมม!
เสียงปะทะกันของกระบวนท่าทั้งสอง
ดังลั่น ลมปราณทั้งสองเข้าปะทะกันกระจายออกด้านข้าง
กองกำลังอสูรที่อยู่โดยรอบถูกลมปราณอันรุนแรงพัดจนลอยละลิ่วเข้าปะทะกับกำแพงด้านหลังหลายคน
เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่า
พลังของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันยิ่งนัก ประมาจารย์เทพทั้งสี่เริ่มรู้สึกกังวล
ทางด้านปรมาจารย์เทียนหั่วเองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
หลังจากนั้นหลีหั่วก็บุกเข้ามาโดยใช้กระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวทุบตีเหยียนหยางอย่างต่อเนื่อง
แต่เหยียนหยางก็ยังสามารถต้านรับเอาไว้ได้
แต่กำลังกายของอสูรนั้นเหนือกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
“กระบี่เพลิงทะลวงสวรรค์!” เหยียนหยางกระโดดถอยมาตั้งหลักและใช้กระบวนท่ากระบี่เพลิงทะลวงสวรรค์
เป็นการหมุนตัวไปพร้อมกับกระบี่พุ่งไปด้านหน้า
ร่างกายของเขาเป็นดั่งลูกข่างที่ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ พุ่งไปหาหลีหั่ว
“คิดว่าจะทำอันใดข้าได้เช่นนั้นรึ?”
หลีหั่วฟาดกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวสวนกลับไปทันที
ฟุ่บบ!
กระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวฟาดไปไม่โดนสิ่งใด
เหยียนหยางที่หมุนตัวอยู่นั้น ทำการหมุนเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
และหันกลับมาพุ่งเข้าด้านหลังของหลีหั่วอย่างจัง
กึกก!
กระบี่เพลิงสวรรค์ไม่อาจที่จะทะลวงผ่านกระดองด้านหลังของเกราะกระดองทมิฬได้
และเกราะกระดองทมิฬยังสามารถหยุดการหมุนตัวของเหยียนหยางได้อีกด้วย
“เจ้ามนุษย์โง่เง่า!” หลีหั่วพูดขึ้นมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
เขาหันกลับมาฟาดกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวใส่เหยียนหยางทันที เหยียดหยางรีบใช้กระบี่เพลิงสวรรค์กั้นเอาไว้
แต่ด้วยพลังของหลีหั่วทำให้เหยียนถึงกับปลิวกระเด็นไปจนเกือบตกจากลานประลอง
เหยียนหยางใช้กระบี่ปักพื้นเอาไว้จึงมิได้กระเด็นออกไป
แต่การโจมตีเมื่อครู่ทำให้เหยียนหยางถึงกับกระอักเลือดออกมา
“ดูเหมือนว่าเหยียนหยางจะบาดเจ็บไม่น้อย”
ปรมาจารย์อินเยวี่ยหันมาพูดกับปรมาจารย์เทียนหั่ว
“ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกนิกายเทพอสูรมากเกินไป
ข้าไม่คิดว่าหลีหั่วจะแข็งแกร่งขึ้นได้ถึงเพียงนี้”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจ หากเหยียนหยางพ่ายแพ้
แผนที่วางเอาไว้ก็จะผิดพลาดไปทั้งหมด
“อย่าได้กังวลไปเลย
เจ้าศิษย์โง่ของข้ายังมิได้ ใช้พลังที่แท้จริงของกระบี่เพลิงสวรรค์และเกราะเพลิงสวรรค์สีชาด
ข้าได้ให้คำชี้แนะแก่เขาไปแล้ว อยู่ที่ว่าศิษย์โง่ของข้าจะสามารถเข้าใจได้หรือไม่”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดขึ้นมาพร้อมกับลูบเคราของเขา
เขาได้ถ่ายทอดวรยุทธเพลิงสวรรค์ให้แก่เหยียนหยางไปจนหมดแล้ว
“คงจะไม่มีแรงลุกขึ้นยืนอีกแล้วสินะ
ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าลงนรกไปซะ!” หลีหั่วเดินไปใกล้ ๆ เหยียนหยางและใช้กระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวฟาดไปที่เหยียนหยางที่ยังคงนั่งถือกระบี่อยู่
ตูมม!
เสียงของกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวปะทะเข้ากับกำแพงเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมา
นี่คือพลังที่แท้จริงของเกราะเพลิงสวรรค์สีชาด
เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ทั่วร่างของเหยียนหยาง นั้นสามารถป้องกันการโจมตีของยอดฝีมือระดับเทพสงครามได้
“ดูเหมือนศิษย์โง่ของข้าจะเข้าถึงขั้นแรกของวรยุทธเพลิงสวรรค์แล้ว”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดด้วยความยินดี
“เพลิงสวรรค์โชติช่วง
มิอาจล่วงล้ำกล้ำกลาย ยามเพลิงสวรรค์ดับสลาย ย่อมแพ้พ่ายร่างกายดับสูญไป”
เหยียนหยางท่องเคล็ดวิชาของวรยุทธเพลิงสวรรค์ขั้นที่หนึ่งขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ
ลุกขึ้น
“บ่นบ้าอันใดของเจ้า? กระบองเล็บพยัคฆ์!”
หลีหั่วใช้กระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวฟาดไปที่เหยียนหยางที่กำลังลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ตูมม!
เสียงพื้นลานประลองแยกออกจากกันเป็นรอยจากลมปราณกรงเล็บพยัคฆ์
ทะลุผ่านร่างเหยียนหยางไปที่พื้น ส่วนกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาวนั้นยังคงถูก
ต้านเอาไว้จากกำแพงเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่โดยรอบร่างกายของเหยียนหยาง
“หลีหั่ว
จากนี้ไปเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายรับมือข้าบ้างแล้ว” เหยียนหยางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
เป็นคำพูดที่สงบและดูขัดแย้งกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่รอบกายเขายิ่งนัก......จบตอน