ณ ลานประลองของนิกายเทพอสูร
ทางนิกายเทพอสูรได้จัดเตรียมที่นั่งให้คนละฟากของลานประลอง
และให้กองกำลังของนิกายเทพอสูรมายืนอยู่ด้านข้างลานประลองนับพันคน
ส่วนปรมาจารย์เทพทั้งสี่นั่งอยู่อีกฝั่งของลานประลอง
“เทียนหั่ว เจ้าเดินทางมายังนิกายเทพอสูรด้วยเหตุใดกัน?” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงตะโกนถามออกไป
“เสวียนหมิงเจ้าอย่าได้ร้อนใจ
ศิษย์ข้านั้นได้บรรลุพลังในระดับเทพสงครามแล้ว
ข้าจึงต้องการให้เขาได้หาประสบการณ์เท่านั้น”
ปรมาจารย์เทียนหั่วลูบเคราพร้อมกับหัวเราะและตอบกลับไป
“เจ้าคิดจะให้ศิษย์ของเจ้า
มาถล่มนิกายเทพอสูรเช่นนั้นหรือ?” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดพร้อมกับปล่อยลมปราณที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกไป
“ข้าเพียงแค่ต้องการให้ศิษย์ของข้ามาทดสอบฝีมือ
ก่อนที่จะรับตำแหน่งผู้นำนิกายของข้าเท่านั้น เจ้าไม่ต้องการทราบหรือว่า ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำนิกายคนใหม่ของนิกายเทพอัคคีแข็งแกร่งเพียงใด”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ถ้าต้องการเช่นนั้นสถานที่แห่งนี้
คือลานประลองศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเทพอสูร โอรสศักดิ์สิทธิ์เหยียนหยาง
ศิษย์ของเจ้าข้าเคยเล่นสนุกกับเขามาก่อนแล้ว หากตอนนั้นเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามา
ศิษย์ของเจ้าคงสิ้นชื่อไปแล้ว” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่ให้
ศิษย์ของท่านและข้ามาประลองกันดูเล่า”
ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงบเช่นเดิม
ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงใช้ลมปราณของตนตรวจสอบความแข็งแกร่งของทั้งสี่คน
เขารับรู้ได้ทันทีว่าเหยียนหยางและหมิงเยี่ยวู่ซวง
จงใจปกปิดพลังที่แท้จริงของตนเองเอาไว้
‘เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะตาเฒ่า’
ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงคิดในใจ
“หลีหั่ว!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงหันไปมอง โอรสศักดิ์สิทธิ์หลีหั่วและเรียกชื่อของเขา
โอรสศักดิ์สิทธิ์หลีหั่วพยักหน้าตอบรับในทันที
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าแล้ว
เขาในตอนนี้ได้ก้าวล้ำอาจารย์ของตนไปแล้ว เนื่องจากเขาได้ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำมาจากตำหนักซีอิงเสิ่นหลายร้อยก้อน
และได้คำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งเทพโดยตรง
[หลังจากที่ไม่สามารถติดต่อกับนิกายอสูรฟ้า
บริวารแห่งเทพจึงสั่งการให้เหล่านิกายอสูรคัดเลือกหาตัวแทน
มารับคำชี้แนะในการบ่มเพาะพลังจากบริวารแห่งเทพโดยตรง
ซึ่งนิกายอสูรส่วนใหญ่ต่างก็คัดเลือกโอรสศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากอายุยังน้อย
และจะสามารถปกป้องนิกายอสูรได้อีกยาวนาน และหลี่หั่วก็ได้นำคำชี้แนะมาบอกแก่ปรมาจารย์ทั้งสี่ทำให้ระดับพลังของพวกเขารุดหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่บริวารแห่งเทพก็ไม่สอนให้ผู้ใดเกี่ยวกับระดับพลังขั้นขอบเขตแห่งพระเจ้า
ดังนั้นหลีหั่วและปรมาจารย์แห่งเทพทุกคนจึงมีพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
มีเพียงปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงที่อยู่ในขั้นที่แปดเท่านั้น
เนื่องจากก่อนหน้านี้ระดับพลังของเขาลดลงไปครึ่งหนึ่ง]
“เจ้าต้องการประลองด้วยวิธีใดกัน?” หลีหั่วจับจ้องไปที่เหยียนหยางด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
“ยอดฝีมือหาได้วัดกันเพียงแค่วรยุทธ
ในขั้นแรกข้าต้องการท้าประลองหมากล้อมกับเจ้า” เหยียนหยางตอบกลับไปอย่างองอาจ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหมากล้อม
จนเรียกได้ว่าเข้าสู่ระดับหัตถ์เทวะ อยากรู้นักว่าจะเก่งกาจสมคำร่ำรือหรือไม่
เตรียมกระดานหมากล้อมมาที่กลางลานประลอง”
หลีหั่วตะโกนบอกให้อสูรรับใช้นำกระดานหมากล้อมออกมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเลือกใช้หมากขาว
เจ้าจะว่าอันใดหรือไม่?”
เหยียนหยางกระโดดขึ้นไปบนลานประลองและพูดออกไป
“เทพและมาร ขาวและดำ
ก็นับว่าเหมาะสมดี!”
หลีตั่วใช้มือทุบโต๊ะที่มีกระดานหมากล้อมวางอยู่ เพื่อให้ถ้วยหมากดำมาวางอยู่ทางด้านที่เขานั่ง
และถ้วยที่ใส่หมากขาวไปอยู่ฝั่งเหยียนหยาง
“ข้าถือหมากดำ
ดังนั้นข้าจะเป็นฝ่ายวางหมากก่อน”
หลีหั่วหยิบเม็ดหมากขึ้นมาและเตรียมวางหมากเม็ดแรก
“ช้าก่อน! หากไม่มีการวางเดิมพันคงจะน่าเบื่อยิ่งนัก
ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นเช่นใด?” เหยียนหยางยื่นมือไปขวาง
เพื่อยังไม่ให้หลี่หั่วได้วางหมากเม็ดแรก
“เจ้าจะใช้สิ่งใดในการเดิมพัน?” หลีหั่วจ้องหน้าเหยียนหยางและถามออกไปด้วยความไม่พอใจ
“หากชนะข้าต้องการเกราะเพลิงสวรรค์สีชาดของเจ้า
และไม่ว่าข้าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะจ่ายด้วยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนหนึ่งแสนก้อน”
เหยียนหยางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลีหั่วก็รู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งแสนก้อน
สามารถนำไปซื้อชุดเกราะหรืออาวุธในระดับพระเจ้าได้
เหตุใดเหยียนหยางจึงใช้เงินจำนวนมากถึงเพียงนี้มาเดิมพันกับเกราะวิเศษระดับเก้านี้
และยินดีที่จะจ่ายให้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ
ข้อเสนอนี้ดีเกินไปจนน่าสงสัย
หลีหั่วหันไปมองปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง เพื่อขอความเห็น ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพยักหน้าตอบรับในทันที
“ตกลง!
ถ้าเช่นนั้นนี่คือหมากเม็ดแรกของข้า” หลีหั่ววางหมากเม็ดแรกลงตรงจุดดาวล่างซ้ายของกระดาน
ทันทีที่วางเม็ดหมากลงไป กระดานหมากก็ขยายใหญ่ขึ้น
และพื้นที่โดยรอบกลายเป็นดั่งท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน
เม็ดหมากที่วางลงไปกลายเป็นแสงดาวสีดำส่องประกายออกมา
“มืดมิดและเหน็บหนาว สมกับเป็นนิกายเทพอสูร
นี่คือหมากเม็ดแรกของข้า”
เหยียนหยางพูดพร้อมกับวางเม็ดหมากตรงจุดดาวที่อยู่ตรงข้ามทันที [หากมองทางด้านของเหยียนหยางจุดดาวจุดนี้จะอยู่ตรงมุมล่างซ้ายเช่นกัน]
ทันทีที่เม็ดหมากของเหยียนหยางวางลงไป
ก็ปรากฏเป็นดวงดาวสีขาวส่องสว่าง ทำให้ท้องฟ้าที่มืดมิดค่อย ๆ
แปรเปลี่ยนเป็นสว่างใสทันที
ทุกคนที่มองดูการประลองหมากลอง
ต่างก็ตกตะลึง นี่ไม่ใช่การเล่นหมากล้อมธรรมดา
แต่ราวกับเป็นการจัดวางดวงดาราบนท้องฟ้าเลยทีเดียว
“หยุดล้อเล่นกันสักที
นี่คือหมากเม็ดที่สองของข้า” หลีหั่ววางหมากดำเม็ดที่สองตรงกึ่งกลางกระดาน [จุดเทียนหยวน] หลังจากที่วางลงไปหมากสีดำเม็ดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นดวงอาทิตย์สีดำที่ร้อนแรง
จนทำให้เหยียนหยางไม่อาจปิดกั้นพลังของตัวเองได้ต่อไป
จึงปลดปล่อยลมปราณระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าออกมา หากไม่ทำเช่นนี้
แค่การวางหมากเขาก็คงไม่อาจทำได้เสียด้วยซ้ำ
“ถอดหนังแกะออกแล้วสินะ”
หลีหั่วยิ้มออกมาที่มุมปาก
ความแข็งแกร่งระดับนี้เมื่อเทียบกับเขานั้นยังห่างชั้นกันอีกหลายขั้น
เหยียนหยางวางหมากขาวเม็ดที่สองประจันหน้ากับหมากดำที่อยู่ตรงกลางกระดานทันที
การวางหมากในแต่ละครั้งต้องใช้ลมปราณไม่น้อย
หากไม่ทำเช่นนั้นจะต้องถูกดวงอาทิตย์สีดำกลืนกินไปเป็นแน่
หลีหั่ววางหมากเพื่อปกป้องจุดเทียนหยวน
เอาไว้ ทางด้านเหยียนหยางยังคงต่อสู้อยู่ที่จุดกลางกระดาน
หากไม่สามารถจัดการกับหมากที่จุดเทียนหยวนได้ เขาคงจะพ่ายแพ้
หลังจากที่การต่อสู้กลางกระดาน
จะไม่รู้ผลได้โดยง่าย เนื่องจากหลี่หั่วได้วางหมากดำกันเอาไว้ เหยียนหยางจึงเปลี่ยนไปโจมตีตรงหมากดำ
หมากแรกของหลีหั่วแทน
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลีหั่วจึงหันมาวางหมากปกป้องหมากเม็ดแรกแทน
ในตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนไปมีทั้งที่มืดมิดและส่วงปนเปกัน
และมีดวงดาราสีดำและขาวอยู่เต็มท้องฟ้า
เหยียนหยางยังคงรุกไล่ตรงด้านบนขวาของกระดาน
และพยายามขยายหมากมาทางกลางกระดานโดยที่ไม่ให้หลีหั่วรู้ตัว
ในยามนี้หากเปรียบเม็ดหมากเป็นกองกำลังทหาร
กองกำลังของหลีหั่วได้ยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบไปแล้ว
แต่เหยียนหยางก็ยังลอบหาเส้นทางบุกไปได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
เหยียนหยางวางหมากลงไป
หากวางอีกเม็ดเดียวก็จะสามารถกินหมากดำที่อยู่ด้านบนขวาได้
แต่เขากลับหันมาวางหมากเพื่อยึดกลางกระดานแทน
การวางหมากต่อสู้กันตรงด้านบนซ้ายทอดยาวจนมาใกล้กับจุดเทียนหยวนโดยที่หลีหั่วไม่ทันได้ระวัง
เพราะทุกหมากที่เหยียนหยางวางลงมา สามารถเป็นจุดชี้ขาดได้ทุกเม็ด
“ไม่มีทาง”
หลีหั่วรีบวางหมากเสริมกำลังให้กับหมากกลางกระดาน
“ช้าไปแล้ว”
เหยียนหยางวางหมากชี้ขาดทันที แสงของอาทิตย์สีดำค่อย ๆ มอดดับลง
หากวางหมากต่ออีกเพียงสองเม็ด หมากกลางกระดานทั้งกลุ่มของหลีหั่วจะถูกกินจนหมด
“ข้าแพ้แล้ว”
หลีหั่วพูดขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ เขาประมาทไปเพียงเล็กน้อย จึงพบกับความพ่ายแพ้
เมื่อหลีหั่วยอมรับความพ่ายแพ้
กระดานหมากล้อมก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีท้องฟ้าและดวงดาราปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
“ถ้าเจ้าอยากได้เกราะบ้านี่ก็จงรับไป”
หลีหั่วถอดเกราะเพลิงสวรรค์สีชาดออกและโยนให้เหยียนหยาง
เหยียนหยางรีบสวมใส่เกราะเพลิงสวรรค์สีชาดในทันที
หลังจากนั้นก็โยนแหวนห้วงมิติที่ได้มาจากเนี่ยลี่
ที่ด้านในมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งแสนก้อน ให้แก่หลีหั่ว
“ดูเหมือนว่าการประลองหมากล้อมศิษย์ข้าจะเป็นฝ่ายชนะ
และดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
การประลองวรยุทธคงต้องเป็นวันพรุ่งนี้
ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกข้าจะเดินทางมาอีกครั้ง”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
“ในการประลองวรยุทธเจ้าต้องการเดิมพันสิ่งใดอีกหรือไม่?” ปรมาจารย์เทพชิงหลงที่นั่งชมการประลองอยู่เอ่ยถามออกไป
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่านิกายเทพอสูรจะมีสมบัติอันใดอีก
คืนนี้ข้าจะลองกลับไปคิดดู” ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง
เขาไม่จำเป็นที่จะต้องบอกไปในตอนนี้
หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็เดินทางออกจากนิกายเทพอสูรไป
ก็มีเหล่าอสูรลอบติดตามมาหนึ่งในนั้นคืออู๋หยาจื่อ
ซึ่งก็ไม่อาจหลุดพ้นจายสายตาของเนี่ยลี่ เขารีบส่งเสียงผ่านลมปราณไปบอกให้อู่หยาจื่อไปยังที่แห่งหนึ่งหลังจากนี้
หลังจากอู่หยาจื่อตอบรับ
เนี่ยลี่ก็พาพวกเขาหลบเข้าไปในตำหนักชมจันทร์ทันที
อสูรที่ลอบตามมาต่างก็งุนงง
หลังจากคลาดสายตาเพียงครู่เดียวทั้งสี่คนก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
พวกอสูรตนอื่น ๆ จึงรีบกลับมารายงานปรมาจารย์เทพทั้งสี่ทันที ส่วนอู๋หยาจื่อขอแยกไปสำรวจทางอื่นต่ออีกสักพัก
“ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีเป้าหมายบางอย่าง
แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“พวกมันสามารถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้เช่นใดกัน”
ปรมาจารย์เทพไป๋หู่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
เป็นคนส่งให้ศิษย์ของเขาลอบตามไป แต่กลับได้ข่าวเพียงว่า
ทั้งสี่คนหายไปโดยไร้ร่องรอยเท่านั้น
“ไม่ว่าพวกมันจะต้องการสิ่งใด
หากหลีหั่วเอาชนะได้ เรื่องทั้งหมดก็จบลง” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดแทรกขึ้นมา ผลการประลองในวันนี้หลีหั่วประมาทเกินไป
เขาจึงไม่พอใจยิ่งนัก
“หลีหั่วจงรับเกราะของข้าไป
นี่คือเกราะกระดองทมิฬของข้า
เป็นชุดเกราะระดับพระเจ้าที่เหนือกว่าเกราะเพลิงสวรรค์สีชาดของเจ้า” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงโยนชุดเกราะของเขาให้แก่หลีหั่ว
หลีหั่วรีบนำมาสวมใส่ในทันที
“ส่วนอาวุธ จงรับสิ่งนี้ไปกระบองเหล็กพยัคฆ์ขาว เป็นอาวุธวิเศษระดับพระเจ้าเช่นกัน” ปรมาจารย์เทพไป๋หู่โยนอาวุธคู่กายของเขาให้แก่หลีหั่วเช่นกัน
หลีหั่วรับด้วยมือขวาของเขา
“นี่คือยาทิพย์มังกรคราม
เมื่อทานเข้าไปพลังของเจ้าจะสูงขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง” ปรมาจารย์เทพชิงหลงโยนยาทิพย์ของเขาให้แก่หลีหั่ว
เป็นยาทิพย์ที่ต้องใช้เวลากลั่นนับร้อยปี ซึ่งปรมาจารย์เทพชิงหลงมีแค่ห้าเม็ดเท่านั้น หลังจากที่มอบให้หลีหั่ว ปรมาจารย์เทพชิงหลงก็แจกจ่ายยาทิพย์ให้แก่ปรมาจารย์เทพอีกสามตน
“ส่วนนี่คือเข็มพิษวิหคเพลิงของข้า
มันมีพิษร้ายแรง เวลาใช้อย่าได้ให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยมอบเข็มพิษวิคเพลิงให้แก่หลีหั่ว ไว้ใช้เป็นอาวุธลับ
หลีหั่วใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่คว้ารับทั้งสองสิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ทั้งสี่ผิดหวัง
พรุ่งนี้ข้าจะสังหารเหยียนหยางให้จงได้” หลีหั่วประสานมือขอบคุณอาจารย์ทั้งสี่ของเขา
“เหยียนหยางนั้นมีพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าเท่านั้น
ด้วยของเหล่านี้หากเจ้ายังไม่อาจเอาชนะมันได้ ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากนิกายซะ!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ ก็ออกมาพบกับอู่หยาจื่อตรงจุดนัดพบ
ทันทีที่เห็นอู่หยาจื่อเนี่ยลี่ก็พูดออกไปทันทีว่า
“ข้าจะทำให้เจ้าได้เป็นประมุขนิกายเทพอสูร
เจ้าสนใจที่จะรับฟังข้อเสนอจากข้าหรือไม่?”...........................จบตอน