เมื่อกลับมายังนิกายเทพอัคคี
เนี่ยลี่ได้ขอดูอาวุธของทั้งสองคน
เหยียนหยางนำกระบี่เพลิงสวรรค์ออกมาให้เนี่ยลี่ดู
“กระบี่เพลิงสวรรค์
อาวุธวิเศษระดับเก้า” เนี่ยลี่ถือกระบี่เพลิงสวรรค์มาตรวจสอบ
ความแข็งแกร่งของมันอยู่แค่เพียงระดับเก้า
แต่เนี่ยลี่ก็มีความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่ายังมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์
“ข้าขอคืนให้กับท่านก่อน
แล้วอาวุธของพี่หมิงเยี่ยคือสิ่งใดกัน?”
เนี่ยลี่มอบกระบี่เพลิงสวรรค์ให้แก่เหยียนหยาง และหันไปถามหมิงเยี่ยวู่ซวง
“ข้าไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือไม่
มันเป็นเพียงแค่พิณไร้นามเท่านั้น”
หมิงเยี่ยวู่ซวงนำพิณออกมาจากแหวนห้วงมิติของนางและส่งให้เนี่ยลี่
“ข้าไม่รู้จักพิณคันนี้มาก่อน
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องพาพวกท่านทั้งสองไปพบกับเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก่อนที่จะเดินทางไปยังนิกายเทพอสูร”
เนี่ยลี่ส่งพิณคืนให้แก่หมิงเยี่ยวู่ซวง และสะบัดมือขวาของเขา
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
ภายในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
“นี่ยังไม่ถึงเวลาที่ข้านัดหมาย
เหตุใดเจ้าจึงเข้ามาหาข้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขึ้นมาขณะที่ตีดาบของหลี่ชิงอวิ๋นอยู่
“ข้าต้องขออภัยท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยง
ข้าต้องการให้ท่านชมอาวุธของศิษย์พี่ทั้งสองของข้า
พวกเราจะต้องทำศึกในเร็ววันนี้” เนี่ยลี่ประสานมือและก้มหัวอย่างสุภาพ
เขารู้ดีว่าการที่มารบกวนเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดในขณะที่ตีอาวุธอยู่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมยิ่งนัก
“ไม่จำเป็น
กระบี่เพลิงสวรรค์ นั่นเหมาะสมกับลมปราณอัคคีของเจ้าหนุ่มผู้นั้นอยู่แล้ว
แต่มันยังไม่สมบูรณ์ กระบี่เพลิงสวรรค์นั้นจำเป็นต้องสวมใส่ชุดเกราะอีกชุดหนึ่ง
จึงจะแสดงความสามารถที่แท้จริงของมันได้ เนื่องจากมันถูกสร้างมาให้คู่กัน” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขึ้นมาหลังจากที่ชำเลืองมองดูเหยียนหยางที่ถือกระบี่อยู่ในมือ
“ท่านผู้อาวุโส
ชุดเกราะที่ว่าคือเกราะอันใดกัน?”
เหยียนหยางรีบประสานมือและถามออกไปด้วยท่าทีที่สุภาพ
“เดิมทีเกราะนั้นเป็นมรดกที่สืบทอดในนิกายเทพอัคคีตั้งแต่อดีต
แต่ผู้ครอบครองชุดเกราะนั้นพลาดท่าให้กับศิษย์ของนิกายเทพอสูร
หลังจากที่เขาถูกสังหาร ศิษย์ของนิกายเทพอสูรจึงนำชุดเกราะนั้นกลับไป
ชื่อของเกราะนั้นก็คือ เกราะเพลิงสวรรค์สีชาด” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป
ในขณะที่มือเขายังคงตีดาบอยู่
“เกราะเพลิงสวรรค์สีชาด
เกราะของหลีหั่วแห่งนิกายเทพอสูร!” เหยียนหยางพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเกราะเพลิงสวรรค์สีชาด ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์หลีหั่วสวมใส่อยู่
จะเป็นมรดกที่สืบทอดของนิกายเทพอัคคีเช่นเดียวกันกับกระบี่เพลิงสวรรค์
ที่เขาได้รับมา
“เมื่อเจ้าได้สวมใส่เกราะเพลิงสวรรค์สีชาด
กระบี่เพลิงสวรรค์จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา
ความแข็งแกร่งเมื่อสวมใส่คู่กันจะเทียบเท่าของวิเศษระดับพระเจ้าเลยทีเดียว” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงอธิบายอย่างช้า
ๆ
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าจะหาหนทางที่จะทำให้พี่เหยียนหยางได้เกราะเพลิงสวรรค์สีชาดมา”
เนี่ยลี่พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ส่วนพิณไร้นามของแม่นางผู้นั้น
เหตุที่ข้ามิได้ตั้งชื่อให้มันเพราะมันเป็นของที่ยังไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกับ
ผีผาคร่าวิญญาณ” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขณะที่ใช้ที่คีบเหล็กที่ถืออยู่ในมือซ้ายนำดาบที่กำลังตีอยู่ไปแช่น้ำเพื่อให้คงรูป
ก่อนที่จะนำไปวางบนแท่นตีเหล็กอีกครั้ง เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงได้สะบัดดาบเล่มนั้นไปทางพิณไร้นามของหมิงเยี่ยวู่ซวง
ผึงง!
ด้วยลมปราณจากการสะบัดดาบ
สายพิณทั้งเจ็ดสายก็ขาดออกทันที ทำให้หมิงเยี่ยวู่ซวงตกใจเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลายิ่งนัก”
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจและใช้ค้อนตีไปที่ดาบอย่างรุนแรง
เศษเหล็กส่วนเกินของดาบที่ยังตีไม่เสร็จพุ่งออกไปเป็นเจ็ดเส้น
และไปแทนที่สายพิณทั้งเจ็ดที่ถูกตัดขาดออกไปทันที
สายพิณแต่ละเส้นค่อย
ๆ สอดใส่ไปตามตำแหน่งราวกับมีชีวิต
“จากนี้
พิณนั้นจะมิใช่พิณไร้นามอีกต่อไป ชื่อของมันคือพิณเมฆาสวรรค์” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดออกไป
เนื่องจากสายพิณทั้งเจ็ดเป็นเหล็กชนิดเดียวกันกับที่ใช้ตี ดาบเมฆาสวรรค์ไร้ลักษณ์ เขาจึงให้ใช้ชื่อเช่นนี้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
หยิงเยี่ยวู่ซวงวางพิณเมฆาสวรรค์ลงกับพื้น และคุกเข่าประสานมือขอบคุณเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
“เนี่ยลี่
จงนำสิ่งนี้ไปมอบให้ฮัวเตี่ย” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับใช้ลมปราณควบคุมกระดาษสี่แผ่นให้ลอยไปหาเนี่ยลี่
“นี่มันแบบแปลนของมีดเขี้ยวมังกร
ที่ข้าเขียนให้ท่าน เพื่อให้ตีเป็นอาวุธของหลงยู่อิน”
เนี่ยลี่รับม้วนกระดาษมาคลี่ดูแผ่นหนึ่งและพูดออกไป
“มันคือ มีดเขี้ยวมังกรฟ้า ข้าได้แก้ไขเป็นรูปลักษณ์ที่เหมาะสมแล้ว
ฮัวเตี่ยในตอนนี้สามารถตีมีดสองเล่มนี้ได้อย่างแน่นอน ส่วนอาวุธในอีกสามแผ่นที่เหลือนางก็สามารถทำได้ดียิ่งกว่าข้า
หากข้าต้องทำอาวุธทั้งหมดเพียงลำพัง คงจะต้องใช้เวลามากเกินไป” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว
หลังจากที่ท่านตีดาบเล่มนั้นสำเร็จ
อาวุธชิ้นต่อไปข้าต้องการให้ท่านทำอาวุธของจื่ออวิ๋น” เนี่ยลี่ประสานมือ
ก้มศีรษะและพูดออกไปด้วยความสุภาพ เขาได้เขียนรูปแบบของอาวุธ ชื่อ
และรูปลักษณ์ของแต่ละคนให้เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงไปแล้ว
“ข้าเองก็ตั้งใจเช่นนั้น!” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป
หลังจากนั้นเขาก็โบกมือไล่ให้ทั้งสามคนออกไป พวกเขาจึงประสานมือและกล่าวลาอีกครั้งก่อนที่จะออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไป
เมื่อออกมาจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
หมิงเยี่ยวู่ซวงลองบรรเลงพิณที่ได้เปลี่ยนสายจากเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ทันทีที่กรีดนิ้วลงบนสายพิณ
ก็บังเกิดเสียงที่ดังก้องกังวาลไปทั่ว เสียงที่ออกมานิ่มนวลประดุจปุยเมฆ
ราวกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่บนสวรรค์
หมิงเยี่ยวู่ซวงที่เป็นผู้บรรเลงก็รู้สึกประหลาดใจ จนนิ้วหยุดเคลื่อนไหว
“ท่วงทำนองที่บรรเลง
แตกต่างจากสายพิณเดิมอย่างเห็นได้ชัด” หมิงเยี่ยวู่ซวงพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ฝีมือของพี่หมิงเยี่ย
ยังคงน่าชื่นชมยิ่งนัก” เนี่ยลี่พูดออกไปพร้อมกับยิ้ม แม้จะบรรเลงเพียงครู่เดียว
แต่เสียงพิณของนางทำให้เนี่ยอดที่จะคิดถึง อิงเยว่ลู่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาไม่ได้
“พวกเราจะเดินทางไปยังนิกายเทพอสูรด้วยวิธีใดกัน”
เหยียนหยางหันไปถามเนี่ยลี่ เขารับรู้ได้ว่าการเปิดเส้นทางสวรรค์ขึ้นมาต้องใช้พลังสวรรค์ไปไม่น้อย
วันนี้เนี่ยลี่ใช้ไปถึงสามครั้ง
เขาสัมผัสได้ว่าพลังของเนี่ยลี่เหลือไม่ถึงสามส่วนเท่านั้น
“พวกเราจะเดินทางไปตามปกติ
ด้วยระดับพลังของพวกเราคงใช้เวลาราวสองวัน
ระหว่างทางพวกเราจะหยุดพักในตำหนักชมจันทร์ของข้า” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
เขาไม่ต้องการสูญเสียพลังกับการใช้เส้นทางสวรรค์ เพราะหากเกิดการต่อสู้ขึ้น
เขาจะใช้พลังได้ไม่เต็มที่
ส่วนตำหนักชมจันทร์นั้นเนี่ยลี่สามารถเปิดเข้าไปได้จากทุกแห่งตามที่เขาต้องการ
“แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อใด”
หมิงเยี่ยวู่ซวงถามออกไป
“พรุ่งนี้ข้าจะเปิดเส้นทางสวรรค์เพื่อไปยังนิกายพิทักษ์สวรรค์
และนำแบบแปลนอาวุธไปให้แก่หลานสาวของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
และเมื่อกลับมาพลังข้าจะเหลือเพียงแค่ห้าส่วน เราจะเดินทางในเช้าของอีกวัน
ดังนั้นคงต้องขอให้พี่หมิงเยี่ย ฝึกใช้พิณเมฆาสวรรค์ให้คล่องแคล่วในช่วงเวลาที่เหลืออยู่”
เนี่ยลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“ตกลง!” หมิงเยี่ยวู่ซวงตอบกลับไป
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็กลับไปยังห้องรับรองที่นิกายเทพอัคคีจัดเตรียมเอาไว้ให้
ทางด้านเหยียนหยางก็กลับไปยังตำหนักของเขาและดิ่มยาทิพย์
เพื่อบ่มเพาะพลังทันที เขาจะต้องบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าให้ได้ก่อนที่จะออกเดินทาง
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่ตื่นขึ้นมาด้วยพลังสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม
ดูเหมือนว่าเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนอยู่โดยรอบนิกายเทพอัคคี
จะทำให้เนี่ยลี่ได้รับพลังเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
เขานั้นเปิดเส้นทางสวรรค์ขึ้นมา
และเดินทางไปหาฮัวเตี่ยทันที หลังจากที่มอบแบบแปลนอาวุธและบอกกล่าวคำพูดของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงให้แก่ฮัวเตี่ย
นางก็ได้รับแบบแปลนอาวุธทั้งสี่ไป และเริ่มลงมือตีอาวุธโดยทันที
เนี่ยลี่แวะไปแจ้งข่าวให้แก่หลี่ชิงอวิ๋นและขอตัวกลับมายังนิกายเทพอัคคีทันที
หลังจากนั้นเขาก็นั่งดูดซับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ไปพร้อมกับดิ่มยาทิพย์ทำให้ระดับพลังของเขาเลื่อนขึ้นเป็นระดับเทพสงครามขั้นที่หกแล้ว
สองวันต่อมา เนี่ยลี่
เหยียนหยาง หมิงเยี่ยวู่ซวง
และปรมาจารย์ทั้งสองได้เดินทางมาถึงหน้านิกายเทพอสูรแล้ว นิกายเทพอสูรนั้นอยู่ใกล้กับเทือกเขาทมิฬ
มีบรรยากาศมืดมัว มีเมฆหมอกหนาปกคลุมจนแทบจะไม่ได้รับแสงตะวัน
กำแพงและประตูของนิกายเทพอสูรตั้งตระหง่านแต่ก็เห็นได้ถึงความเก่าแก่
และมีรอยคราบราวกับเป็นคราบเลือด อยู่เต็มกำแพงโดยรอบ ดูแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ข้าคือปรมาจารย์เทียนหั่วแห่งนิกายเทพอัคคี
และ ปรมาจารย์อินเยวี่ยแห่งนิกายเสียงสวรรค์ ต้องการมาพบกับปรมาจารย์เทพทั้งสี่”
ปรมาจารย์เทียนหั่วตะโกนออกไป
ในตอนนี้เนี่ยลี่ให้ทุกคนพกศิลาเร้นเมฆาเอาไว้
โดยที่ให้ปรมาจารย์ทั้งสองสะกดพลังเอาไว้ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
ส่วนเหยียนหยางและหมิงเยี่ยวู่ซวงนั้นใช้ศิลาเร้นเมฆาสะกดพลังเอาไว้ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า
และใช้ลมปราณของตนเองปิดบังระดับพลังของทั้งสองคนให้อยู่แค่เพียงระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง
เป็นการปกปิดถึงสองชั้นด้วยกัน
[การปกปิดระดับพลังโดยการควบคุมลมปราณ
ไม่อาจที่จะปกปิดแก่ผู้ที่มีระดับพลังเท่ากันหรือเหนือกว่าได้
ในกรณีนี้หากยอดฝีมือที่มีระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าอยู่
จะสามารถตรวจจับได้ว่าเหยียนหยางและหมิงเยี่ยวู่ซวงนั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าเช่นกัน
ส่วนการปกปิดโดยใช้ศิลาเร้นเมฆานั้นไม่อาจตรวจจับได้]
“โปรดรออยู่ที่ด้านนอก
ข้าจะไปแจ้งแก่ท่านปรมาจารย์เทพทั้งสี่” อสูรที่ทำหน้าที่ดูแลประตูตะโกนออกมา
เขานั้นรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
ระดับพลังของเขานั้นอยู่แค่เพียงระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งเท่านั้น
หากคนเหล่าใช้กำลังบุกเข้ามา เขาก็ไม่อาจที่จะขัดขวางได้
ทางด้านปรมาจารย์เทพทั้งสี่เมื่อได้รับแจ้งข่าว
พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ไม่เคยมีพวกมนุษย์เดินทางมาขอพบเช่นนี้มาก่อน
และผู้ที่เดินทางมาเป็นถึงประมุขของนิกายเทพอคคี
และนิกายเสียงสวรรค์ซึ่งเป็นสองในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูของนิกายเทพอสูรอย่างแท้จริง
“ข้าเองก็ต้องการรู้ว่า
พวกมันคิดจะมาไม้ไหน? ให้พวกมันเข้ามา” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง
[玄冥:เต่าดำ] ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว
เขากับปรมาจารย์เทียนหั่วนับได้ว่าเป็นคู่แค้นกันมานานนับร้อยปี
“หากพวกมันคิดจะก่อสงครามคงไม่เดินทางมาด้วยตัวเองเช่นนี้
แต่การมาของพวกมันก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ย
[朱雀:วิหคสีชาด] พูดขึ้นมาบ้าง
“พวกเราจะพบกับพวกมันที่ใดกัน
ข้าจะได้จัดเตรียมกองกำลังเอาไว้เพื่อความปลอดภัย” ปรมาจารย์เทพชิงหลง
[青龙:มังกรคราม] พูดขึ้นมา
เขานั้นมีความรอบคอบที่สุดในสี่ปรมาจารย์เทพ
“พาพวกมันไปที่ลานประลอง
ที่นั่นกว้างขวางพอที่จะเตรียมกำลังได้ และสามารถใช้กดดันพวกมันได้อีกด้วย” ปรมาจารย์เทพไป๋หู่ [白虎:พยัคฆ์ขาว] พูดสรุป
“ตกลง
ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปพาพวกมันไปที่ลานประลอง โดยบอกแก่พวกมันว่า พวกข้าคิดว่าตำหนักของพวกข้าไม่เหมาะที่จะรับรองพวกมนุษย์
แต่ก่อนหน้านั้นจงให้กองกำลังของเราไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อน” ปรมาจารย์เทพชิงหลงหันไปสั่งการแก่อสูรที่เข้ามารายงาน
“ขอรับ!”
อสูรที่มารายงานรีบออกไปทำตามคำสั่งทันที...............จบตอน