เมื่อหลี่ชิงอวิ๋นได้ขึ้นเป็นประมุขของนิกายพิทักษ์สวรรค์
เนี่ยลี่จึงตัดสินใจที่จะพักอยู่ในอาณาจักรนี้ชั่วคราว
เพื่อที่จะไปสำรวจตำหนักอสูรฟ้า จนกว่าเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง จะตีอาวุธให้กับหลี่ชิงอวิ๋นและหลงยู่อินเสร็จ
เนื่อลี่ได้มอบยาทิพย์ให้แก่หลี่ชิงอวิ๋นไว้เป็นจำนวนมาก
เพื่อบ่มเพาะพลังของตนและ
เพิ่มระดับความสามารถให้แก่คนที่ไว้ใจได้ในนิกายพิทักษ์สวรรค์
และแน่นอนว่าจะต้องมอบให้กั้วหวางเทียนตามที่ได้รับปากเอาไว้
แม้ว่ากั้วหวางเทียนจะดูเป็นคนใจร้อนและแข็งกร้าว
แต่จิตใจของเขานั้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เขายอมรับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขา
หลังจากที่มอบตำแหน่งประมุขให้แก่หลี่ชิงอวิ๋นแล้ว
กั้วหวางเทียนก็ได้คำนับหลี่ชิงอวิ๋นเป็นอาจารย์ทันที
เนื่ยลี่และกู้เบ่ย ได้เข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เพื่อรับอาวุธของกู้เบ่ย เมื่อเข้าไปเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
โยนกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในฝักให้แก่กู้เบ่ย
“นั่นคือกระบี่ธาราสวรรค์
[天河:เทียนเหอ]” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงลูบเคราพูดด้วยความพึงพอใจ
กู้เบ่ยดึงกระบี่ออกมาจากฝัก
ก็พบว่ากระบี่ส่องประกายสีคราม
ทุกครั้งที่กวัดแกว่งราวกับมีละอองน้ำกระเด็นออกมาจากกระบี่
แสงด้านหลังที่สะท้อนกับหยดน้ำทำให้เห็นรุ้งกินน้ำอันงดงาม
“เจตจำนงแห่งกระบี่บรรพชน!” กู้เบ่ยใช้ลมปราณเรียกเจตจำนงแห่งกระบี่บรรพชน
ออกมาผสานเข้ากับกระบี่ธาราสวรรค์ จากนั้นกู้เบ่ยจึงลองกวัดแกว่งกระบี่อีกครั้ง
ในตอนนี้ทุกครั้งที่กวัดแกว่งกระบี่
จะมีภาพเงาของเจตจำนงแห่งกระบี่บรรพชนเคลื่อนไหวตามการกวัดแกว่งของกระบี่ธาราสวรรค์
หากกู้เบ่ยฟันกระบี่หนึ่งครั้ง ภาพเงาที่เคลื่อนไหวตามซ้อนกันมาจะเท่ากับว่ากู้เบ่ยฟันกระบี่ออกไปร้อยครั้ง
“ข้าจะเรียกกระบวนท่านี้ว่ากระบี่ร้อยวิญญาณบรรพชน
ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยง” กู้เบ่ยประสานมือและก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม
เขาไม่คิดเลยว่าจะมีกระบี่ที่เหมาะสมกับเขาถึงเพียงนี้
“อายุเพียงเท่านี้
แต่กลับเข้าถึงวิถีแห่งกระบี่ขั้นสูงสุดได้
ศึกในคราวนี้ดูเหมือนว่าจะมีความหวังไม่น้อย” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไป
“เจ้านั้นคิดที่จะทำเช่นใดต่อไป
กับเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงสองปีนี้?” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงมองเนี่ยลี่และถามออกไป
“ข้าต้องการที่จะเสาะหาผู้กลับชาติมาเกิดอีกสองคนที่เหลือ
และรวบรวมยอดฝีมือจากทั่วยุทธภพ เพื่อรับมือกับศึกที่ใกล้จะมาถึง”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เจ้าคิดจะครอบครองอาณาจักรทั้งเก้า
เพื่อเป็นกองกำลังให้แก่เจ้าสินะ” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
อ่านความคิดของเนี่ยลี่ออกได้ในทันที
“ข้าจะให้สหายของข้าแต่ละคน
ยึดครองอาณาจักรแต่ละแห่ง และเพิ่มระดับความแข็งแกร่งให้แต่ละอาณาจักร
พร้อมกับเสาะหาผู้กลับชาติมาเกิดไปพร้อม ๆ กัน” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“เจ้าคิดจะให้ข้านั้นเดินทางไปยังอาณาจักรใดกัน?” กู้เบ่ยถามออกไป เขานั้นก็เป็นชาวยุทธ
การออกไปผจญภัยเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว
“อาณาจักรทั้งเก้าแห่ง
ประกอบไปด้วย อาณาจักรซากมังกร อาณาจักรกำแพงสวรรค์ อาณาจักรเทพวายุ อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
อาณาจักรซากทมิฬ อาณาจักรหุบเขาสวรรค์ อาณาจักรธาราสวรรค์ อาณาจักรวิญญาณสาบสูญ และอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ”
เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกมา
“ถ้าเช่นนั้นอาณาจักรที่ข้าสามารถแสดงขีดความสามารถออกมาได้สูงสุดก็คงจะเป็น
อาณาจักรธาราสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรแห่งนี้” กู้เบ่ยพูดพร้อมกับพยักหน้า
“การเดินทางไปยังอาณาจักรธาราสวรรค์ขอให้เป็นเรื่องหลังจากนี้
ข้ายังมีเรื่องที่ต้องเตรียมการอีกหลายเรื่อง ข้าคงต้องขอตัวลาท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยงก่อน”
เนี่ยลี่หันไปกล่าวลา เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
“จากนี้ไปข้าจะตีดาบให้แก่หลี่ชิงอวิ๋น
ในอีกเก้าวันข้างหน้าเจ้าจงพาเขามาหาข้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพยักหน้าและพูดออกไป
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เนี่ยลี่ประสานมือและก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ
“ข้าเองก็คงต้องขอลาเช่นกัน
ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยงยิ่งนัก” กู้เบ่ยเองก็ประสานมือและก้มศีรษะเช่นกัน
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกมาจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
และเรียกทุกคนมาคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้
เมื่อทุกคนได้ฟังที่เนี่ยลี่พูด
ต่างก็รับรู้ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญมากเพียงใด
“เจ้าจะให้ข้ายึดครองอาณาจักรใดกัน”
ลู่เพียวถามออกไป ด้วยความตื่นเต้น
“เจ้ากับเซี่ยวซุ่ยจะต้องไปยึดครองอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ
ด้วยวรยุทธของเซี่ยวซุ่ยสามารถยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน”
เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“เนี่ยลี่
เจ้าหมายความว่าจะให้เซี่ยวซุ่ยจะเป็นประมุขแห่งอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ แล้วข้าเล่า
เจ้าจะไม่ให้ข้าได้เป็นประมุขบ้างหรืออย่างไร?”
ลู่เพียวพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
“ทำไมกัน
เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นสามีของประมุขเช่นข้า มันต่ำต้อยนักหรืออย่างไร?” เซี่ยวซุ่ยบิดหูลู่เพียวและพูดขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางคิดว่าลู่เพียวนั้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว
แต่ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจผิดไปเอง
“ข้าก็แค่อยากเป็นประมุขบ้างก็แค่นั้น
ฉายาข้าก็ไม่มีผู้ใดรู้จัก” ลู่เพียวยังคงบ่นออกมาอีก
“ฉายานักรบสวรรค์ลู่เพียว
เจ้าก็คิดขึ้นมาเองแล้ว จากนี้ไปยามที่บุกอาณาจักรวิญญาณสาบสูญ
เจ้าก็จงใช้ชื่อนี้ของเจ้าประกาศออกไป” เนี่ยลี่หัวเราะและตอบกลับไป
“เมียนักรบสยบลู่เพียว
ฉายานี้ก็เหมาะสมกับเซี่ยวซุ่ยไม่น้อย”
กู้เบ่ยพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซี่ยวซุ่ยก็ถึงกับหน้าแดง
“แล้วอาณาจักรอื่น
ๆ เจ้าจะส่งผู้ใดไป” หลี่ชิงอวิ๋นพูดแทรกขึ้นมา เขาคิดว่าหากพูดเล่นมากไปกว่านี้
คงคุยกันไม่จบเป็นแน่
“อาณาจักรเทพวายุ
ข้าจะให้จางหมิง เว่ยหนาน ซูเซียงจิ้ง เป็นผู้บุกไปยึดครอง”
เนี่ยลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป หากสามคนนี้ร่วมมือกัน
ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากเท่าใดนัก
“อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์
เจ้าคงคิดที่จะให้จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อนำกองกำลังไปสินะ” ลู่เพียวพูดแทรกขึ้นมา
เขาต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เขาก็มีความคิดเช่นกัน
“อาณาจักรซากทมิฬ
ต้วนเจี้ยนมีความเหมาะสมมากที่สุด ในเก้าอาณาจักร
อาณาจักรซากทมิฬเป็นอาณาจักรที่เผ่าอสูรปกครองพื้นที่ของอาณาจักรมากที่สุด
ดินแดนที่มนุษย์ปกครองอยู่ในอาณาจักรซากทมิฬมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
ดังนั้นจึงต้องส่งต้วนเจี้ยนที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดไป”
หลี่ชิงอวิ๋นเสนอความเห็นออกไป
“สำหรับอาณาจักรหุบเขาสวรรค์
ตู่ซื่อและฮวาหั่ว คงจะสามารถยึดครองได้ไม่ยากนัก
และอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพข้าจะเดินทางไปเอง” เนี่ยลี่พูดสรุป
หลังจากที่ได้ยินข้อสรุป จากเนี่ยลี่ทุกคนก็พยักหน้า
กำลังของผู้ที่จะบุกไปอาณาจักรแต่ละแห่งนับว่ามีความเหมาะสมยิ่งนัก
“สำหรับกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์
ข้าจะให้พวกเขาอยู่ที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
หากมีผู้ใดต้องการกำลังสนับสนุนก็สามารถไปหากำลังคนได้ที่นั่นได้”
เนี่ยลี่มองไปที่ทุกคนและพูดออกไป
“เจ้าจะให้พวกข้าออกเดินทางเมื่อใดกัน?” ลู่เพียวถามออกไป
ในเวลานี้เขาและเซี่ยวซุ่ยนับว่ามีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากได้รับอาวุธจากเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงมาแล้ว
“ในวันพรุ่งนี้ข้าจะส่งเจ้า
เซี่ยวซุ่ยและกู้เบ่ย
รวมไปถึงกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์กลับไปยังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ด้วยเส้นทางสวรรค์
ให้พวกเจ้าไปจัดเตรียมกองกำลังที่คิดว่าเพียงพอที่จะใช้ในการบุกยึดครองอาณาจักรต่าง
ๆ และหลังจากนั้นเก้าวัน เมื่อพี่ชิงอวิ๋นได้รับอาวุธแล้ว ข้าจะกลับไป”
เนี่ยลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“ข้าขอกลับไปนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ข้าจะนำคนจากตระกูลผนึกมังกรมายังอาณาจักรแห่งนี้
เพื่อที่จะได้เป็นกำลังสนับสนุนแก่พี่ชิงอวิ๋น” หลงยู่อินที่นั่งเงียบอยู่ทานพูดขึ้นมา
“ตกลง
ถ้าเช่นนั้นขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน
พรุ่งนี้ข้าจะเปิดเส้นทางสวรรค์ให้แก่พวกเจ้า” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลุกขึ้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ค่ำคืนในอาณาจักรแห่งนี้ดูแล้วงดงามยิ่งนัก เมื่อไร้ซึ่งนิกายอสูรฟ้า อาณาจักรแห่งนี้ย่อมกลายเป็นอาณาจักรที่ไร้ซึ่งภัยคุกคาม
เช้าวันต่อมา
ดวงอาทิตย์ทอแสงประกายอบอุ่น เนี่ยลี่ได้เปิดเส้นทางสวรรค์ให้ ลู่เพียว เซี่ยวซุ่ย
กู้เบ่ย และ หลงยู่อิน เพื่อไปยังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าจะเป็นพลังที่สะดวกยิ่งนัก แต่เนี่ยลี่ก็สามารถเปิดใช้ได้วันละสี่ครั้งเท่านั้น
และหากใช้ครบสี่ครั้งในวันเดียว เนี่ยลี่ก็จะไม่เหลือพลังสำหรับทำสิ่งใดได้อีก
หลังจากที่ได้ประกาศออกไปเกี่ยวกับประมุขคนใหม่
หลี่ชิงอวิ๋นได้สั่งการให้ปิดประตูเมืองทั้งหมดเป็นการชั่วคราว
และเริ่มมองหาผู้ที่ไว้ใจได้ ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองกำลังและเริ่มมอบยาทิพย์ให้แก่
คนในระดับหัวหน้ากองกำลังก่อน
และได้มอบหมายให้ร้านเสิ่นหวู่ซี่
[神武器:เทพศาสตราวุธ] ของฮัวเตี่ย
ผู้เป็นหลานของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ตีอาวุธและชุดเกราะให้แก่ระดับหัวหน้ากองกำลัง
แม้ว่านางจะฝีมือด้อยกว่าเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
แต่ด้วยพรสวรรค์ของนางนับว่าเหนือกว่าช่างตีอาวุธคนอื่น ๆ ในอาณาจักรแห่งนี้
ยิ่งได้ตีอาวุธและชุดเกราะมากขึ้นเท่าใด นางก็ยิ่งฝีมือดีขึ้นมาเท่านั้น
อาวุธระดับพระเจ้าที่นางตีนั้น ตอนนี้อยู่ในระดับปานกลางแล้ว [เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตีอาวุธระดับพระเจ้าทุกชิ้นอยู่ในระดับ ชั้นเยี่ยม]
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็ได้เดินทางไปสำรวจตำหนักอสูรฟ้าอีกครั้ง
และได้พบกับห้องที่อยู่ด้านบนสุดของตำหนัก เป็นห้องโถงเล็ก ๆ
ที่ด้านบนดูราวกับเชื่อมต่อขึ้นไปบนสวรรค์ได้ ทันทีที่เนี่ยลี่ก้าวเข้าไป
เนี่ยลี่ก็รู้สึกราวกับว่า ได้เดินเข้ามาในช่องว่างของห้วงมิติแห่งหนึ่ง
“ที่แห่งนี้มัน! ผสานดวงจิตแห่งเทพ เทพธิดาเสิ่นช่วง” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
และรีบผสานเข้ากับดวงจิตของเทพธิดาเสิ่นช่วงทันที
“นี่เจ้าสามารถค้นหาดินแดนแห่งสวรรค์ ได้แล้วเช่นนั้นหรือ?”
เทพธิดาเสิ่นช่วงพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
“ท่านกำลังบอกว่า
นี่คือทางเข้าของดินแดนแห่งสวรรค์!”
เนี่ยลี่ถามกลับไป
“นี่เป็นเพียงกระจกข้ามภพ
ที่ใช้สื่อสารระหว่างโลกนี้กับดินแดนแห่งสวรรค์เท่านั้น
หากจะข้ามผ่านไปยังดินแดนแห่งสวรรค์
เจ้าต้องรวบรวมกระจกข้ามภพที่กระจายอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรทั้งเก้า” เทพธิดาเสิ่นช่วงมองดูโดยรอบและตรวจสอบจารึกที่เขียนอยู่ด้วยอักษรภาษาสวรรค์
“ถ้าเช่นนั้นกระจกข้ามภพเหล่านี้คงจะอยู่ในนิกายอสูรของอาณาจักรต่าง
ๆ เป็นแน่!” เนี่ยลี่ครุ่นคิด
เขารู้ดีว่านิกายอสูรทั้งหมดล้วนแต่อยู่ใต้อาณัติของบริวารแห่งเทพ พวกมันต้องใช้กระจกข้ามภพในการสั่งการอย่างแน่นอน
“เนี่ยลี่จงออกจากห้องนี้ไปก่อน
เร็วเข้า!” เทพธิดาเสิ่นช่วงตะโกนบอกในหัวของเนี่ยลี่
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเนี่ยลี่จึงรีบออกไปจากห้องโถงนี้ทันที
“นี่มันอะไรกัน? เหตุใดศิษย์ทั้งสามของข้าจึงไม่มารายงานแก่ข้าเช่นทุกวัน
หรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบนโลกเป็นแน่!”
มีเสียงก้องกังวาลมาจากด้านบนและเงียบหายไป
เนื่องจากเนี่ยลี่ออกจากห้องโถงนี้ไปแล้วบริวารแห่งเทพจึงมองไม่เห็นเขา
แต่เสียงของบริวารแห่งเทพดังกึกก้อง แม้ว่าจะออกมาจากห้องโถงแล้ว
เนี่ยลี่ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
“เสียงนี่มันบริวารแห่งเทพ”
เนี่ยลี่พูดด้วยความตกใจ แม้จะได้ยินแค่เสียง
แต่กลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมาก็ทำให้เนี่ยลี่ถึงกับขนลุกเลยทีเดียว
“บริวารแห่งเทพ
ไม่อาจที่จะลงมาที่โลกนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิปราชญ์
ตราบเท่าที่ไม่มีผู้ใดบรรลุเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์ จักรพรรดิปราชญ์ก็จะไม่อนุญาตให้บริวารแห่งเทพลงมาจากดินแดนแห่งสวรรค์โดยเด็ดขาด”
เทพธิดาเสิ่นช่วงพูดขึ้นมา
“หากข้าขโมยกระจกข้ามภพไป
พวกบริวารแห่งเทพจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่?”
เนี่ยลี่ถามด้วยความกังวล
“หากมองจากกระจกข้ามภพที่อยู่บนดินแดนแห่งสวรรค์
จะสามารถมองเห็นทางเบื้องล่างได้แม้ว่าเจ้าจะนำกระจกข้ามภพไปก็ตาม
บริวารแห่งเทพทำได้เพียงแค่สงสัยที่ไม่ได้รับการติดต่อกลับไปเท่านั้น” เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบกลับไป
หลังจากที่เห็นว่าเสียงเงียบหายไปแน่นอนแล้ว เนี่ยลี่จึงกลับเข้าไปในห้องโถงอีกครั้งและแกะเอากระจกข้ามภพออกมา
รูปร่างของกระจกข้ามภพเป็นเพียงผลึกแก้วสีฟ้าแท่งเล็ก ๆ เท่านั้น
เมื่อเก็บเอาไว้เนี่ยลี่จึงรีบกลับออกมาจากห้องโถงทันที.........จบตอน