หลังจากที่ประมุขกั้วได้รับแจ้งข่าวจากเนี่ยลี่
จึงส่งให้คนเข้าไปตรวจสอบ และพบว่า พวกนิกายอสูรฟ้าถูกสังหารไปจนหมด
แต่ทะเลสาบแห่งเทพในป่าเหลือเพียงแค่แปดแห่งเท่านั้น แต่ศิลาจิตวิญญาณ
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ และศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองทำ
ที่ทะเลสาบแห่งเทพทั้งแปดแห่งผลิตได้
เนี่ยลี่ได้ให้กองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ไปเก็บมาทั้งหมดแล้ว
วันต่อมาเนี่ยลี่และเหล่าสหายของเขา
ได้เดินทางไปยังนิกายพิทักษ์สวรรค์ พร้อมกับเถ้าแก่ฟู่
ณ ห้องโถงใหญ่นิกายพิทักษ์สวรรค์
ประมุขกั้วได้ให้คนจัดเตรียมที่นั่งรับรองให้แก่พวกเนี่ยลี่เป็นอย่างดี
พวกเรารู้ดีแล้วว่า พวกเนี่ยลี่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ความขัดแย้งในอาณาจักรแห่งนี้มีมายาวนานนับร้อย นับพันปี
แต่พวกเนี่ยลี่ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถทำให้อาณาจักรแห่งนี้สงบลงได้
“ข้าได้เตรียมเงินเดิมพันเอาไว้ให้ท่านแล้ว”
กั้วหวางเทียนยื่นแหวนห้วงมิติที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนห้าสิบล้านก้อนให้แก่เนี่ยลี่
เนี่ยลี่ยื่นมือไปรับและส่งแหวนให้แก่เถ้าแก่ฟู่
“เถ้าแก่ฟู่
นี่คือเงินค่าร้านส่วนที่เหลือ และส่วนแบ่งของท่าน”
“ขอบคุณคุณชายเป็นอย่างมาก
หากยังมีสิ่งใดที่คุณชายต้องการก็สามารถแจ้งกับข้าได้ทุกเมื่อ”
เถ้าแก่ฟู่รับแหวนห้วงมิติมาด้วยความยินดี และขอตัวออกจากห้องโถงไป
“หลังจากนี้พวกข้าจะกลับไปยังอาณาจักรซากมังกร
ท่านสามารถติดต่อกับข้าได้ที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับมอบป้ายศิลาเร้นเมฆาที่มีสัญลักษณ์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ประมุขกั้ว
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่า
เหตุใดทะเลสาบแห่งเทพที่มีถึงยี่สิบแห่งในป่าจึงเหลือเพียงแค่แปดแห่งเท่านั้น” กั้วหวางเทียนรับเอาป้ายศิลาเร้นเมฆา
และถามออกไปด้วยความคับค้องข้องใจ
“สำหรับเรื่องนี้นั้น
ข้าคงต้องขออภัยด้วย ทางนิกายอสูรฟ้าถูกพวกข้าบุกโจมตีอย่างหนัก
พวกมันจึงรู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีทำลายทะเลสาบแห่งเทพ
ข้านั้นประมาทเกินไปไม่คิดเลยว่าพวกมันจะใช้วิธีนี้”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับแกล้งถอนหายใจ
เมื่อเห็นท่าทีของเนี่ยลี่
กั้วหวางเทียนไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่เขาก็ไร้ซึ่งหลักฐาน
แม้ว่าจะสูญเสียทะเลสาบแห่งเทพไป แต่พื้นที่ของอาณาจักรกำแพงสวรรค์ก็กลายเป็นของนิกายพิทักษ์สวรรค์ทั้งหมด
นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีนัก
แม้ว่าพวกนิกายอสูรสวรรค์จะถูกสังหารไปจนหมด
แต่ในป่าก็ยังมีอสูรที่ไร้สติปัญญาอยู่ ไม่น้อย ทำให้ยอดฝีมือของนิกายพิทักษ์สวรรค์ได้ใช้ฝึกฝีมือ
[อสูรที่มีสติปัญญาจะสามารถพูดคุยกันได้ ส่วนสัตว์อสูรทั่ว
ๆ ไปก็ไม่ต่างจากสัตว์ป่าเท่าใดนัก]
“ประมุขกั้ว ข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งเอาไว้ ในตำหนักอสูรฟ้า
มีกับดักอยู่เป็นจำนวนมาก ขอให้ท่านปิดกั้นเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดรุกล้ำเข้าไปเป็นอันขาด”
เนี่ยลี่พูดกำชับ เขานั้นยังไม่มีเวลาสำรวจตำหนักอสูรฟ้าอย่างละเอียด
เขาจะกลับมาในภายหลัง
“ข้าเข้าใจแล้ว
หลังจากนี้ข้าจะสั่งให้สร้างกำแพงล้อมรอบตำหนักอสูรฟ้าเอาไว้” กั้วหวางเทียนตอบรับ
คำพูดของเนี่ยลี่ในตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะขัดแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าขอตัวกลับไปยังอาณาจักรซากมังกรก่อน” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ชะ..ช้าก่อน”
กั้วหวางเทียนรีบพูดขึ้นมา เขายังมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่
“ประมุขกั้วมีเรื่องอันใดอีก?” เนี่ยลี่หันกลับมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“วิธีใดกัน ที่จะก้าวข้ามระดับเทพสงครามได้?”
กั้วหวางเทียนกัดฟันพูดขึ้นมา ในฐานะชาวยุทธ
เขาเคยคิดว่าตนเองนั้นก้าวขึ้นจนถึงระดับสูงสุดแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับเหล่าสหายของเนี่ยลี่แล้ว เขายังต่ำชั้นกว่ามากนัก
“เรื่องนี้เป็นความลับของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ข้าเกรงว่าในสัญญาพันธมิตรของเรามิได้กล่าวเรื่องนี้เอาไว้”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปพร้อมกับส่ายหน้า
“ข้ายินดีที่จะเพิ่มเงื่อนไขสัญญาตามที่ท่านต้องการ”
กั้วหวางเทียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หากท่านต้องการเช่นนั้น
ข้อแลกเปลี่ยนของข้าคือท่านจะต้องสละตำแหน่งประมุขของนิกายพิทักษ์สวรรค์ให้แก่สหายของข้า
แต่ข้ารับปากท่านได้ว่า แม้ว่าจะสูญเสียตำแหน่งประมุขให้แก่สหายข้าแล้ว
ท่านจะยังอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาของประมุข อำนาจของท่านจะยังคงอยู่เช่นเดิม
เพียงแต่ท่านต้องรับฟังคำสั่งของประมุขคนใหม่เท่านั้น” เนี่ยลี่พูดออกไปอย่างช้า ๆ
พร้อมกับแอบยิ้ม การก้าวข้ามระดับพลังของตนเอง
เป็นสิ่งที่ใช้ล่อลวงชาวยุทธได้ทุกยุคทุกสมัย
“ระ..เรื่องนี้”
กั้วหวางเทียนรู้สึกตกใจกับข้อเรียกร้องของเนี่ยลี่
เรื่องนี้มันมากเกินไปตำแหน่งประมุขของนิกายพิทักษ์สวรรค์
ไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดได้
“ดูเหมือนว่า
ประมุขกั้วจะหนักใจกับข้อเสนอของข้า
ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เวลาท่านหนึ่งวันหากท่านตัดสินใจเช่นใด
สามารถไปแจ้งแก่ข้าที่โรงเตี๊ยมได้” เนี่ยลี่และพวกของเขาเดินออกไปจากตำหนัก
เหลือเพียงกั้วหวางเทียนที่นั่งอยู่ในห้องโถงนั้นเพียงลำพัง
หลังจากที่กลับมาพักที่โรงเตี๊ยม
เนี่ยลี่และสหายของเขาก็มานั่งพูดคุยกัน กู้เบ่ยเริ่มเอ่ยถามออกไปเป็นคนแรก
“เหตุใดเจ้าจึงยื่นเงื่อนไขเช่นนั้นออกไป”
“เพราะมันเป็นเงื่อนไขที่คุ้มค่า”
เนี่ยลี่มองไปทีกู้เบ่ยพร้อมกับยิ้มและตอบกลับไป
“หากกั้วหวางเทียนยอมรับในข้อเสนอของเจ้า
เจ้าจะให้ใครขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขของนิกายพิทักษ์สวรรค์”
หลี่ชิงอวิ๋นยกชาขึ้นมาดื่มและถามออกไป
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดยินดีที่จะรับตำแหน่งนี้
กู้เบ่ย หรือ ท่านพี่ชิงอวิ๋น” เนี่ยลี่มองไปที่ทั้งสองคนก่อนที่จะตอบกลับไป
“ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย
แต่ข้าคิดว่าตำแหน่งนี้จะเหมาะสมกับพี่ชิงอวิ๋นมากกว่าข้า
อาณาจักรที่ใหญ่โตเช่นนี้จำเป็นที่จะต้องมีประมุขั้มีความสามารถในด้านการปกครองเช่นท่าน”
กู้เบ่ยประสานมือพร้อมกับพูดยกย่องหลี่ชิงอวิ๋น
“ขอบใจที่เจ้าพูดเช่นนั้น
แต่การที่ต้องอยู่ห่างบ้านห่างเมืองข้าเองก็...”
หลี่ชิงอวิ๋นหันมามองหลงยู่อินด้วยสายตาที่รู้สึกหนักใจไม่น้อย
“พี่ชิงอวิ๋นไม่จำเป็นต้องห่วงความรู้สึกของข้า
อาณาจักรทั้งสองใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ไม่กี่วัน
หากท่านต้องการรับตำแหน่งนี้ข้ายินดีที่จะสั่งการให้ตระกูลผนึกมังกรย้ายมาอยู่ที่อาณาจักรแห่งนี้ได้”
หลงยู่อินพูดขึ้นมาหลังจากที่เห็นท่าทีของหลี่ชิงอวิ๋น
“ขอบใจเจ้ามากยู่อิน
ถ้าเช่นนั้น ก็เหลือเพียงแค่คำตอบรับของกั้วหวางเทียนเท่านั้น”
หลี่ชิงอวิ๋นพูดด้วยความยินดี
“เหตุใด
จึงไม่มีใครถามถึงความต้องการของข้าบ้าง” ลู่เพียวที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้นมา
“หากให้เจ้าเป็นประมุข
นิกายแห่งนี้คงจะล่มสลายภายในไม่กี่วันเป็นแน่”
เซี่ยวซุ่ยพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยวซุ่ยทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา
แม้แต่ตัวลู่เพียวเองก็เช่นกัน เขานั้นรู้เรื่องการปกครองจากคำชี้แนะของหลี่ชิงอวิ๋น
เขารู้ดีว่าหลี่ชิงอวิ๋นนั้นจะต้องปกครองนิกายพิทักษ์สวรรค์ได้เป็นอย่างดีแน่นอน
เช้าวันต่อมา
ประมุขกั้วได้ส่งให้คนมาเชิญพวกเนี่ยลี่ไปยังนิกายพิทักษ์สวรรค์อีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้เขาพาพวกเนี่ยลี่ไปยังห้องลับ ที่ดูราวกับลานประลองที่อยู่พื้นที่ด้านในของตำหนัก
หลังจากที่เข้าไปด้านในแล้ว
ประมุขกั้วได้สั่งการให้ปิดประตูอย่างแน่นหนา ที่อยู่ด้านในนี้มีเพียงประมุขกั้ว
และพวกของเนี่ยลี่ และผู้อาวุโสของนิกายพิทักษ์สวรรค์อีกห้าคนเท่านั้น
“นี่คือคำตอบของท่านเช่นนั้นหรือ?” เนี่ยลี่มองโดยรอบและพูดออกไป
“ตำแหน่งของประมุขนิกายพิทักษ์สวรรค์
มิใช่สิ่งที่ข้าจะยกให้กับผู้ใดได้ตามความต้องการ หากต้องการตำแหน่งนี้
จะต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของนิกายเรา”
กั้วหวางเทียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้ว
หากข้าสามารถล้มท่านได้ ข้าก็จะสามารถชิงตำแหน่งประมุขนิกายพิทักษ์สวรรค์มาได้”
หลี่ชิงอวิ๋นเดินไปด้านหน้า พร้อมกับถอดผ้าคลุมไหล่ของเขาออก
หลังจากนั้นเนี่ยลี่และคนที่เหลือจึงถอยไปยืนดูอยู่ด้านข้าง
“การประลองนี้
พี่ชิงอวิ๋นนั้นมีระดับพลังที่เหนือกว่า คงต้องให้ท่านใช้มือเปล่า และคงต้องให้ท่านถอดเกราะเทพเมฆาออกด้วย”
เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไป
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
หลี่ชิงอวิ๋นตอบกลับไปพร้อมกับถอดเกราะเทพเมฆาออกและ
เก็บไว้ในแหวนห้วงมิติของเขาพร้อมกับอาวุธของเขา
“รับมือ!” กั้วหวางเทียนถือดาบเอาไว้ในมือ และตั้งเท่าเตรียมต่อสู้
“เชิญเข้ามาได้ทุกเมื่อ” หลี่ชิงอวิ๋นยืนอย่างองอาจโดยที่ไม่ได้ตั้งท่าแต่อย่างใด
“คิดดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ?” กั้วหวางเทียนตะโกนออกไป
พร้อมกับพุ่งเข้ามาที่ด้านหน้าของหลี่ชิงอวิ๋นตรง ๆ และใช้ดาบฟันลงมาทันที
หลี่ชิงอวิ๋นรวบรวมลมปราณห่อหุ้มแขนขวาของเขาเอาไว้
ปราณที่ห่อหุ้มมองดูราวกับว่าแขนของเขากลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง
เขาใช้แขนขวาที่ห่อหุ้มไปด้วยลมปราณดาบเมฆา แล้วต้านรับดาบของกั้วหวางเทียนเอาไว้
แกร้งง!
เสียงดังราวกับโลหะกระทบกัน
แต่หลี่ชิงอวิ๋นนั้นใช้เพียงแค่ลมปราณห่อหุ้มแขนเอาไว้เท่านั้น
“นั่นมัน
ปราณดาบเมฆา!” กั้วหวางเทียนพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
การใช้ลมปราณสร้างอาวุธขึ้นมา
เป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงที่ผู้ฝึกวรยุทธทุกคนต้องการที่จะก้าวไปถึง
ทำให้กั้วหวางเทียนรู้สึกอิจฉาหลี่ชิงอวิ๋นยิ่งนัก
หลักจากที่ดาบของกั้วหวางเทียนปะทะเข้ากับปราณดาบเมฆาของหลี่ชิงอวิ๋น
เขาก็กระโดดถอยหลังกลับไปตั้งหลัง
“ดาบผ่าเมฆา!” หลี่ชิวอวิ๋นใช้แขนฟันออกไปด้านหน้า กลื่นลมปราณดาบเมฆาแหวกผ่านอากาศไปทางกั้วหวางเทียนอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ยอมแพ้ง่าย
ๆ เป็นแน่!” กั้วหวางเทียนฟันดาบของเขา
สวนกลับไปที่คลื่นลมปราณดาบเมฆาที่พุ่งเข้ามา
ทำให้คลื่นลมปราณดาบเมฆาของหลี่ชิงอวิ๋นนั้นถูกฟันกระจายออกไป กลายเป็นหมอกควันเท่านั้น
“ท่านแพ้แล้ว!” ร่างของหลี่ชิงอวิ๋นที่อยู่เบื้อหน้าค่อย ๆ หายไป
และปรากฏที่ด้านหลังของกั้วหวางเทียนและใช้
ลมปราณดาบเมฆาที่แขนของขาแตะที่คอของกั้วหวางเทียน
เมื่อเห็นเช่นนั้นกั้วหวางเทียน
ก็ปล่อยดาบลงกับพื้น เพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ เขาหันไปมองผู้อาวุโสทั้งห้าของนิกายพิทักษ์สวรรค์และพูดขึ้นมาว่า
“ข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ชายผู้นี้เอาชนะข้าได้ตามธรรมเนียมปฏิบัติของนิกายพิทักษ์สวรรค์
ข้าต้องการให้ท่านผู้อาวุโสทั้งห้า ให้การรับรองเขาด้วย”
“จงเอ่ยนามของเจ้ามา
ประมุขคนใหม่แห่งนิกายพิทักษ์สวรรค์” เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ข้าคือเทพดาบเมฆา
หลี่ชิงอวิ๋น!” หลี่ชิงอวิ๋นประกาศชื่อของเขาออกไป
ด้วยความองอาจ จากนี้ไปเขาจะต้องปกครองอาณาจักรแห่งนี้
เพื่อที่จะเป็นกองหนุนให้แก่เนี่ยลี่ในสงครามครั้งใกล้ที่ใกล้จะมาถึง....................จบตอน