“ถ้าหากเราใช้เคล็ดวิชาผสานกายา
พวกเราจะไม่อาจแยกออกจากกันได้อีก” เทพอสูรซื่อเจี้ย แย้งขึ้นมา
“พวกเจ้าอย่าลืมว่า
กองกำลังของเรามีอยู่หลายสิบล้านตน พวกมันมีเพียงแค่สามร้อยคน หากจัดกองกำลังให้ดี
มีหรือที่จะจัดการพวกมันไม่ได้!” เทพอสูรสือกังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ในตอนนี้พวกมันยังอยู่ในป่า
หากเราสั่งการให้ตั้งกองกำลังทั้งหมดเอาไว้ตรงทางออกจาก เมื่อพวกมันออกจากป่ามา
เราก็ทุ่มกำลังทั้งหมดขยี้มันในคราวเดียว” เทพอสูรซื่อเจี้ยเสนอแผนการรบขึ้นมา
“นับว่าไม่เลว
ถ้าเช่นนั้นจงรีบสั่งการลงไป” เทพอสูรเทียนถังพยักหน้าเห็นด้วยและตอบกลับไป
หลังจากนั้นประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้า
ก็เรียกเหล่าแม่ทัพของกองกำลังแต่ละส่วนให้มารับฟังแผนการและเริ่มทำการจัดกระบวนทัพ
เพื่อเตรียมรับมือในทันที
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่เตรียมที่จะบุกออกไปจากป่า แต่ก็พบว่ามีกองกำลังขนาดใหญ่วางกำลังอยู่ด้านนอก
เนี่ยลี่เผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะสั่งการให้จินตานบินขึ้นไปด้านบน
“คูลล คูลล”
จินตานส่งเสียงร้องเสียงดัง
ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หลังจากนั้นก็พ่นเปลวเพลิงออกมา เป็นแนวยาวเผาไหม้ทัพหน้าของกองกำลังอสูรจากนิกายอสูรฟ้า
ล้มตายไปนับล้านตน
ด้านนอกป่ากลายเป็นทะเลเพลิงโหมกระหน่ำ
ควันไฟเริ่มลอยละลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั่วทั้งบริเวณปกคลุมไปด้วยควันไฟ
ไฟที่ลุกลามบนพื้นก็กลืนกินพื้นที่กว้างออกไปไม่หยุด
อสูรที่ถูกเปลวไฟที่ร้อนแรงนี้แผดเผา แม้แต่เลือดในกายก็ถูกเผาจนเหือดแห้ง
ความโกลาหลเกิดขึ้นไม่หยุด พวกอสูรเริ่มวิ่งหลบหนีกันราวกับทหารที่แตกทัพ
จากนั้นหลงยู่อินก็ผสานเข้ากับจิตอสูรของนาง
มังกรเพลิงสวรรค์พิโรธ เมื่อผสานร่างแล้ว ร่างกายของนางขยายใหญ่ขึ้น
และมีเกล็ดสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นรอบตัวนาง นางพุ่งออกไปท่ามกลางเปลวเพลิงของจินตานและจัดการกับกองกำลังที่กำลังพยายามวิ่งหลบหนี
เพียงใช้กรงเล็บมังกรเพลิงสวรรค์ของนาง
ก็สามารถสังหารพวกอสูรที่กำลังวิ่งหลบหนีได้อย่างง่ายดาย
ด้วยที่จิตอสูรของนางนั้นเป็นมังกรเพลิง ที่มีคุณสมบัติธาตุไฟเช่นเดียวกัน
จึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากไฟของจินตาน
เมื่อเปลวเพลิงของจินตานนั้นเริ่มที่จะดับมอดลงไป
หลี่ชิงอวิ๋นก็ผสานเข้ากับจิตอสูรของตนเองเช่นกัน จิตอสูรของหลี่ชิงอวิ๋นคือมังกรวารีสีชาดสายเลือดทองคำ
เนื่องจากเป็นมังกรวารีจึงสามารถทดความร้อนของเปลวเพลิงที่กำลังมอดลงได้
หลี่ชิงอวิ๋นจึงทะยานออกไปสังหารกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า
ทางด้านตรงกันข้างกับหลงยู่อิน
“พวกมันใช้จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้า!” เทพอสูรซื่อเจี้ย ที่มองดูการต่อสู้ทางด้านหลัง
พูดขึ้นมาเมื่อได้เห็นหลงยู่อินและหลี่ชิงอวิ๋น
“เจ้าพวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจ
บังอาจมาใช้จิตอสูรเผ่าพันธุ์ของข้า” เทพอสูรเทียนถังที่มองดูการต่อสู้ทางด้านหลัง
พูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น
ทางด้านลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยที่มีอาวุธในระดับพระเจ้าอยู่แล้ว
จึงไม่จำเป็นที่จะต้องผสานเข้ากับจิตอสูรของพวกเขา ลู่เพียวฟันง้าวลงไปกับพื้น
ด้วยพลังแห่งวายุที่สถิตอยู่ในง้าวถึงกับผ่าพื้นดินแยกเป็นสองส่วน
และทำให้พวกอสูรร่วงหล่นไปตามรอยแยกนั้นเป็นจำนวนมาก
ส่วนเซี่ยวซุ่ยนั้นใช้
ผีผาคร่าวิญญาณ บรรเลงบทเพลงกล่อมวิญญาณ
อสูรที่ได้ยินเสียงต่างก็ล้มลงจนวิญญาณหลุดลอยไป และใช้กระบี่หยกคร่าวิญญาณสังหารพวกทหารอสูรที่บุดเข้ามาประชิดตัวนาง
กู้เบ่ยเองที่ได้สวมเกราะธาราสวรรค์
เขาใช้กระบี่เจตจำนงแห่งบรรพชน
บุกเข้าไปจัดการกับยอดฝีมือระดับหัวหน้ากองกำลังของนิกายอสูรฟ้า
ที่มีพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปด
ด้วยที่เขาได้พลังเกื้อหนุนจากเกราะธาราสวรรค์
ทำให้สามารถใช้กระบวนท่ากระบี่หมื่นพิรุณ ได้รุนแรงยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะสิ้นเปลืองพลังน้อยลงไปด้วย
กองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ทั้งสามร้อยคน
บุกเข้าปะทะกับกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า อย่างสุดกำลัง ทุกครั้งที่พวกเขาวิ่งเข้าไป
จะมีซากศพของพวกนิกายอสูรฟ้าอยู่เต็มพื้น และค่อย ๆ สลายไป
เนี่ยลี่ยืนอยู่กับเทพธิดายู่หยาน
ทั้งคู่นั้นยังไม่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า จึงยืนดูการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ
และสายตาของเนี่ยลี่นั้นจับจ้องไปยังตำหนักที่อยู่ด้านหลัง
เป็นตำหนักที่ขุดจากภูเขาทั้งลูก และเป็นตำหนักของประมุขนิกายอสูรฟ้า
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม
กองกำลังของนิกายอสูรฟ้าล้มตายไปกว่าห้าสิบล้านตน มีกองกำลังที่เหลือรอดอีกราวสี่สิบล้านตน
และยอดฝีมือในระดับแม่ทัพยังมิได้ออกมายังทัพหน้า
เมื่อเห็นว่ากองกำลังอสูรของตนเองเริ่มที่จะล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ก็ทำให้ประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้ารู้สึกร้อนใจยิ่งนัก
“หากเป็นเช่นนี้พวกเราจักต้องพ่ายแพ้ในศึกนี้เป็นแน่”
เทพอสูรเทียนถังพูดขึ้นมา
“พวกเราต้องใช้เคล็ดวิชาผสานกายากันแล้ว
รีบกลับเข้าไปในตำหนักเดี๋ยวนี้” เทพอสูรสือกังพูดด้วยน้ำเสียงที่จริจัง
“ถ้าหากพวกเจ้าคิดเห็นตรงกัน
พวกเราก็ควรที่จะทำเช่นนั้น” เทพอสูรซื่อเจี้ยพูดพร้อมกับพยักหน้า
หลังจากนั้นเทพอสูรทั้งสามก็กลับเข้าไปยังตำหนัก
และเริ่มใช้เคล็ดวิชาผสานกายา
เดิมทีเทพอสูรทั้งสามเป็นฝาแฝดที่เกิดขึ้นมาพร้อมกัน
ซึ่งหาได้ยากยิ่งสำหรับอสูร ทำให้จิตของเขาแยกออกเป็นสามส่วน เคล็ดวิชานี้มีเพียงพวกเขาทั้งสามเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
เมื่อผสานร่างกันแล้ว
จิตสำนึกของทั้งสามจะรวมเป็นหนึ่งและกลายเป็นเทพอสูรที่มีพลังในระดับขอบเขตพระเจ้าดั่งบิดาของพวกเขา
[จะมีการเปิดเผยในภายหลัง]
การเคลื่อนไหวของอสูรทั้งสาม
ไม่อาจหลุดรอดสายตาของเนี่ยลี่ไปได้ เขาจึงชักชวนเทพธิดายู่หยาน
มุ่งหน้าไปยังตำหนักแห่งนั้น แต่ก็มีแม่ทัพอสูรตนหนึ่งเข้ามาขวางเอาไว้
แม่ทัพอสูรผู้นี้มีร่างกายเป็นมนุษย์
แต่หัวของเขาเป็นแพะและมีเส้นผมเป็นเปลวเพลิง มือของเขามีกรงเล็บราวกับพยัคฆ์
มีหางดั่งจระเข้ ในมือถือดาบเล่มใหญ่ สวมเกราะขนาดใหญ่ที่ไหล่ทั้งสองข้างและเอว ชื่อของเขาคือ
เห่าซานหยาง [火山羊:แพะไฟ]
“หากเจ้าคิดจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักอสูรฟ้า
พวกเจ้าต้องล้มข้าให้ได้ก่อน”
เห่าซานหยางพูดขณะที่ชี้ดาบมาที่เนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยาน
“ข้าจะเป็นผู้รับมือกับเจ้าเอง!” เนี่ยลี่เรียกกระบี่เทพอัสนีดาวตกออกมาในมือ
และเรียกชุดเกราะนักรบเทพวิญญาณออกมาปกคลุมร่างกายของเขา
“จงรับมือ ดาบเพลิงอสูร!” เห่าซานหยางฟันดาบใส่เนี่ยลี่ในทันที
ด้วยพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า เมื่อฟันดาบที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ออกมา
เปลวเพลิงอสูรก็พุ่งมาทางเนี่ยลี่ในทันที
เนี่ยลี่ฟันกระบี่เทพอัสนีดาวตกสวนกลับไป
เปลวไฟที่พุ่งมานั้นแตกกระจายออกไปเป็นเสี่ยง ๆ
และมีประกายดั่งสายฟ้าขึ้นมาทั่วกระบี่ เขาฟันกระบี่ออกไปอีกครั้งทันที
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปหาเห่าซานหยางอย่างรวดเร็ว เห่าซานหยางใช้ดาบเพลิงอสูรต้านรับเอาไว้
แต่ด้วยความรุนแรงของสายฟ้า ทำให้เห่าซานหยางถูกผลักถอยหลังไปหลายก้าว
“ต้านรับเอาไว้ได้เช่นนั้นหรือ
ถ้าเช่นนั้นจงรับไปอีกที!”
เนี่ยลี่กระโดดเข้าไปหาเห่าซานหยางและฟันกระบี่เทพอัสนีดาวตกลงไปที่เห่าซานหยางทันที
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าจะถล่มลงมาพร้อมกับสายฟ้าจากกระบี่เทพอัสนีดาวตก
เห่าซานหยางยังคงใช้ใช้ดาบเพลิงอสูรต้านรับเอาไว้
แต่ร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดจากสายฟ้าที่ค่อย ๆ ไหลเข้ามาในร่างกายของเขา
เขาตะโกนคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว และออกแรงใช้ดาบเพลิงอสูรผลักกระบี่เทพอัสนีดาวตก
ทำให้เนี่ยลี่ต้องกระโดดถอยออกไป
“หากระดับพลังของเจ้าทัดเทียมข้า
เจ้าคงจะได้รับชัยชนะไปแล้ว แต่พลังของข้านั้นเหนือกว่าเจ้าถึงห้าขั้น”
เห่าซานหยางพูดขณะที่ถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา
“ระดับพลังของข้าอาจจะด้อยกว่าเจ้าห้าขั้นจริง
แต่อาวุธของข้านั้นเหนือกว่าเจ้าหลายเท่านัก”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาขณะที่ประกายแสงจากสายฟ้าค่อย ๆ
มารวมตัวกันอยู่ที่กระบี่เทพอัสนีดาวตก
“ช้าเกินไป!” เห่าซานหยางตะโกนออกไปขณะที่พุ่งเข้ามาใกล้เนี่ยลี่
และฟันดาบเพลิงอสูรไปที่ลำตัวของเนี่ยลี่ ที่กำลังรวบรวมพลังสายฟ้าอยู่
ตูมม!
เสียงดาบเพลิงอสูรปะทะเข้ากับร่างของเนี่ยลี่อย่างรุนแรง
แต่ราวกับว่าดาบเพลิงอสูรจะถูกขวางเอาไว้ด้วยคลื่นพลังที่มองไม่เห็น
มันคือพลังจากชุดเกราะนักรบเทพวิญญาณที่จะสร้างม่านพลังขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเนี่ยลี่เอาไว้
“ข้าคงจะยังมิได้บอกเจ้า
เกราะของข้านั้นก็เหนือกว่าดาบของเจ้าหลายขั้นเช่นกัน”
เนี่ยลี่พูดขณะที่ฟันกระบี่เทพอัสนีดาวตกเข้าที่คอของเห่าซานหยาง
คอของเห่าซานหยางขาดในทันที
เมื่อเขาสิ้นใจทหารอสูรใต้สังกัดของเขาก็พุ่งเข้ามาหาเนี่ยลี่ด้วยความโกรธแค้น
เทพธิดายู่หยานใช้ผ้าไหมของนางเข้าไปขวางทหารอสูรเหล่านั้น
ด้วยความคมของผ้าไหมของนาง ทหารอสูรที่สัมผัสผ้าไหมของนาง
ร่างกายของพวกมันก็ถึงกับขาดเป็นชิ้น ๆ
สงครามด้านนอกนี้ใกล้ที่จะจบลงแล้ว
พวกเนี่ยลี่สามารถจัดการกับกองกำลังอสูรของนิกายอสูรฟ้าได้จนหมด ตอนนี้เหลือเพียงประมุขของนิกายอสูรฟ้าเท่านั้น
หลงยู่อินและหลี่ชิงอวิ๋นคลายการผสานร่าง
และทุกคนก็มารวมตัวกันที่เนี่ยลี่ และมุ่งหน้าไปยังตำหนักอสูรฟ้า
ตำหนักอสูรฟ้า
พวกเนี่ยลี่มาอยู่ด้านหน้าของตำหนักอสูร มีประตูหินขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นอยู่
เนี่ยลี่ทำการผลักประตูหิน แต่ดูเหมือนว่าจะเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีการใส่กลอนไม้สลักอยู่แต่อย่างใด
ภายในตำหนักอสูรเป็นทางเดินลึกเข้าไป
มีเพียงแสงไฟจากไฟที่จุดไว้ตามทางเท่านั้น
และดูเหมือนว่าจะไม่มีอสูรตนอื่นอยู่แต่อย่างใด พวกเขาค่อย ๆ
เดินเข้าไปและสำรวจดูห้องต่าง ๆ ระหว่างทาง
“ดูเหมือนว่ามันจะกว้างกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาขณะที่สำรวจดูโดยรอบ
“ทางด้านนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องสมบัติ”
กู้เบ่ยพูดขึ้นมาด้วยความยินดี
ในห้องที่เขาเจอมีศิลาแก่นจิตวิญญาณทองคำวางกองอยู่ราวกับภูเขานับร้อยล้านก้อน
และยังมีอาวุธและชุดเกราะวางอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
“พวกเราจะเก็บสมบัติทั้งหมดกลับไป”
เนี่ยลี่บอกให้ทุกคนช่วยกันเก็บสมบัติในห้องนี้ไป เมื่อเก็บไปทั้งหมด
เนี่ยลี่ก็ได้เห็นศิลาดวงจิตอสูรก้อนหนึ่งวางอยู่บนแท่น
“นี่มันดวงจิตอสูรจู่ลี่
[距离:ระยะทาง]”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“มันสามารถทำอันใดได้?” ลู่เพียวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“มันใช้สำหรับการเดินทาง
เมื่อจบธุระที่อาณาจักรแห่งนี้ข้าจะใช้ให้เจ้าดูเอง”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม
ในเวลานี้จิตอสูรสำหรับต่อสู้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกแล้วเขาเก็บดวงจิตอสูรจู่ลี่เอาไว้ผสานในภายหลัง
“ดูเหมือนว่าด้านหน้านี้จะเป็นห้องโถงใหญ่”
หลี่ชิงอวิ๋นพูดขึ้นมา เมื่อมายืนหน้าประตูใหญ่ที่อยู่ด้านใน
“ทุกคนระวังตัวให้ดี
ข้าจะเปิดเข้าไปแล้ว” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับผลักประตูเข้าไป
ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะเป็นห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงนี้ราวกับว่าเป็นสถานที่ ที่ถูกใช้สำหรับต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้
มีซากปรักหักพังอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อมองขึ้นไปด้านบนมีเก้าอี้สามตัวอยู่ด้านบน
และมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงกลาง
“พวกเจ้าทำอันใดอยู่
จึงได้มาถึงห้องนี้ชักช้ายิ่งนัก” เสียงเย็นยะเยือกของชายผู้หนึ่งพูดขึ้นมา
“จอมมาร!” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ.................จบตอน
[ตอนหน้าจะเป็นการเล่าย้อนกลับไปฉากต่อสู้ระหว่างจอมมารและประมุขของนิกายอสูรฟ้า]