เมื่อเห็นกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า
กู้เบ่ยจึงให้กำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ตรึงกำลังเอาไว้ก่อน
จากนั้นกู้เบ่ยก็เรียกเจตจำนงแห่งกระบี่พรรชนออกมา
“เจตจำนงแห่งกระบี่พรรชน
กระบี่หมื่นพิรุณ!” กู้เบ่ยเริ่มใช้เจตจำนงแห่งกระบี่พรรชน
โดยการพุ่งกระบี่ขึ้นไปบนฟ้าและแยกตัวร่วงหล่นลงมาราวกับหยาดฝน
ซึ่งสามารถสังหารยอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าได้นับหมื่นตน
“พวกมันมีจำนวนมากเกินไป”
กู้เบ่ยพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
กระบวนท่ากระบี่หมื่นพิรุณนั้นแม้ว่าจะสามารถเก็บกวาดศัตรูได้เป็นจำนวนมากแต่ก็ต้องแลกกับการใช้พลังไปจำนวนที่มากเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือแม้แต่ตนเดียว”
หลงยู่อินหยิบมีดเขี้ยวมังกรออกมา
และกระโจนออกไปเผชิญหน้ากับกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า
“มังกรเคลื่อนสวรรค์!” หลงยู่อินหมุนตัวพุ่งออกไป
มองดูราวกับมังกรที่กำลังเคลือนไหวอยู่บนสวรรค์ดั่งชื่อของกระบวนท่าที่นางใช้
ทุกที่ที่นางเคลื่อนผ่าน
อสูรที่มีความแข็งแกร่งกว่าระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าจะล้มตายไปจนหมด
“เจ้าพวกมนุษย์อวดดี
กำแพงอสูร!”
อสูรที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปดตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
เมื่อสิ้นเสียงมีอสูรราวพันตนก่อตัวเป็นกำแพงป้องกันการโจมตีของหลงยู่อิน
ทำให้นางไม่อาจที่จะทะลวงไปได้อีก นางจึงจำต้องหมุนตัวกลับมา
“ดาบคลื่นเมฆา!” ทันทีที่หลงยู่อินกลับมา
หลี่ชิงอวิ๋นใช้กระบวนท่าโจมตีซ้ำออกไปทันที
แม้ว่ากำแพงอสูรจะแน่นหนาและสามารถป้องกันการโจมตีแบบบุกทะลวงด้านหน้าได้
แต่กระบวนท่าดาบคลื่นเมฆานั้นเป็นการโจมตีกระหน่ำจากด้านบน
ที่มีการป้องกันที่น้อยกว่า กำแพงอสูรจึงพังลงไปอย่างง่ายดาย
ในตอนนี้
กองกำลังอสูรนับแสนตน ถูกสังหารไป เมื่อเห็นพวกของตนถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก
เหล่ายอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าก็ยิ่งโกรธแค้นยิ่งขึ้น แล้วพุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมกัน
กองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์เห็นเช่นนั้น
จึงรีบเข้ามาเสริมกำลังด้วยชุดเกราะระดับพระเจ้า ที่ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ใช้อยู่
ทำให้ยอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่พวกเขาได้
และด้วยอาวุธระดับพระเจ้า การโจมตีของพวกเขานั้นแทบไม่ด้อยกว่าเจตจำนงแห่งกระบี่พรรชนเลยทีเดียว
เมื่อต้องพบกับความพ่ายแพ้
พวกนิกายอสูรฟ้าที่เหลืออยู่จึงรีบถอนกำลังออกไป
แต่ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดหลบหนีไป
พวกเขาไล่ตามไปสังหารกองกำลังของนิกายอสูรฟ้าจนหมด และตรึงกำลังอยู่โดยรอบ
กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น และหลงยู่อินยืนอยู่ท่ามกลางซากอาวุธของพวกอสูรที่ล้มตายไป
ต้นไม้ในบริเวณนี้ ด้วยการต่อสู้อันรุนแรง จึงถูกทำลายจนไปราบเรียบ
จนทำให้ไม่เห็นต้นไม้ในระยะหนึ่งลี้นี้เลยทีเดียว [ยอดฝีมือระดับเทพสงครามเมื่อตายไปร่างกายจะสลายไป
ไม่เหลือศพ]
หลังจากนั้นไม่นานพวกเนี่ยลี่ก็เดินทางมาถึงทะเลสาบแห่งเทพแห่งนี้
และเริ่มทำการขโมยรากเทวะออกมา
หลังจากที่โยนรากเทวะเข้าไปข้างในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไปแล้ว
เนี่ยลี่ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าชัยชนะในศึกแรกจะเป็นของพวกเรา
แต่เมื่อเทียบกับกองกำลังทั้งหมดของพวกนิกายอสูรฟ้า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ
เท่านั้น” เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย
“เจ้าจะทำเช่นใดต่อไปอีก
จะบุกยึดทะเลสาบแห่งเทพอีกแปดแห่งที่นิกายอสูรฟ้าครอบครองอยู่หรือไม่?” หลี่ชิงอวิ๋นถามออกไป
“ไม่จำเป็น
หลังจากนี้เราจะบุกทะลวงผ่านป่าออกไป หากข้าขโมยรากเทวะจากทะเลสาบแห่งเทพไปทั้งหมด
อาณาจักรแห่งนี้คงจะไม่มีสิ่งใดเหลืออีก” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับส่ายศีรษะ
“จากนี้ไปคงต้องเจอกับกองกำลังนับล้านของพวกนิกายอสูรฟ้า
เป็นศึกใหญ่อย่างแท้จริง” กู้เบ่ยพูดพร้อมกับถอนหายใจ ในศึกแรกเขาเองก็ต้องใช้พลังไปไม่น้อย
เนื่องจากจำนวนของศัตรูมีมากเกินไป
“หากเผชิญกับยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่แปดและเก้าจำนวนมาก
พวกเราอาจจะไม่ได้รับชัยในศึกครั้งนี้ก็เป็นได้ ” หลงยู่อินพูดขึ้นมา
กำแพงอสูรที่ใช้กำลังคนเพียงแค่พันคนสามารถต้านทานกระบวนท่ามังกรเคลื่อนสวรรค์ของนางได้
“ถ้าหากได้อาวุธจากเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ศึกนี้คงจะง่ายดายยิ่งขึ้น” เนี่ยลี่ตอบกลับไป เขาก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน
เนี่ยลี่จึงตัดสินใจพาพวกเขาเข้าไปด้านในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
โดยฝากให้เสวียนอวี่ดูแลกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ให้อยู่ด้านนอก
ภายในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เนี่ยลี่ได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ที่กำลังมุ่งมั่นในการตีกระบี่สำหรับกู้เบ่ยอยู่
“หากพวกเจ้าต้องการอาวุธเร็วกว่านี้
ข้าคงไม่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้ แต่ถ้าหากเป็นชุดเกราะระดับพระเจ้า
ข้านั้นมีเพียงพอสำหรับพวกเจ้าทั้งหกคน” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไปหลังจากได้ยินปัญหาของพวกเขา
หลังจากที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงวางค้อนตีเหล็กลงและโบกมือขวาของเขา
ชุดเกราะระดับพระเจ้า ทั้งหกชุดก็ลอยออกมาจากในร้าน และมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขาทั้งหกคนชุดทั้งหกมีลักษณะแตกต่างกันออกไป
เกราะชุดแรกที่อยู่ตรงหน้าของลู่เพียวเป็นเกราะสีเขียว
มีพลังแห่งวายุสถิตอยู่ มันแยกออกเป็นส่วน ๆ และพุ่งเข้ามาส่วมใส่ที่หน้าอก แขน ขา
และมือทั้งสองข้างของเขา นี่คือเกราะเทพนักรบวายุสวรรค์
เกราะชุดที่สองที่อยู่ตรงหน้าเซี่ยวซุ่ยเป็นสีเขียวอ่อน
เป็นชุดเกราะอ่อนที่ไม่หนาเหมือนของลู่เพียวมีพลังแห่งวิญญาณสถิตอยู่ มันค่อย ๆ
สวมเข้าร่างของเซี่ยวซุ่ยเช่นเดียวกัน ชื่อของชุดเกราะนี้คือเกราะวิญญาณสวรรค์
เกราะชุดที่สามเป็นของกู้เบ่ย
เป็นชุดเกราะหนักเช่นเดียวกับของลู่เพียว แต่เป็นสีน้ำเงินเข้ม
เป็นชุดเกราะที่มีพลังแห่งวารีสถิตอยู่ เกราะธาราสวรรค์
เกราะชุดที่สี่อยู่ตรงหน้าของหลี่ชิงอวิ๋นเป็นชุดเกราะสีเทา
ที่มีพลังแห่งเมฆาสถิตอยู่ ชื่อของมันคือ เกราะเทพเมฆา
เกราะชุดที่ห้าเป็นเกราะอ่อนของหลงยู่อิน
เป็นชุดเกราะสีแดงเพลิง ที่ดูกระชับเข้ารูป ชื่อของมันคือ เกราะมังกรเพลิง
เกราะชุดสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าเนี่ยลี่
เป็นชุดเกราะสีขาว ที่มีความโดดเด่นยิ่งนักเมื่อสวมใส่แล้ว เป็นเกราะหุ้มทั้งตัว
เป็นเกราะที่ไม่มีพลังอันใดสถิตอยู่ แต่เป็นเกราะที่แข็งแกร่งมากที่สุดและสามารถป้องกันได้ทุกธาตุ
เป็นเกราะที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงทำให้จักรพรรดิคงหมิงในทุกชาติภพ
ชื่อของมันคือเกราะนักรบเทพวิญญาณ
ทันทีที่สวมใส่ชุดเกราะ
พลังของทั้งหกคนก็เพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากได้รับการเกื้อหนุนจากพลังที่สถิตอยู่ในเกราะ พวกเขาทั้งหกสามารถซ่อนหรือให้ชุดเกราะปรากฏขึ้นมาได้ดั่งใจ
สำหรับเทพธิดายู่หยานและเซี่ยวหยู่นั้น
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงคิดว่าพวกนางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชุดเกราะพวกนี้
เซี่ยวหยู่นั้นมีเกราะที่ได้รับมอบมาจากบิดาและมารดาของนางอยู่แล้ว
ส่วนเทพธิดายู่หยานนั้นผ้าไหมที่นางสร้างขึ้นมาจากลมปราณ
นางสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วกว่า
และพลังป้องกันก็มิได้ด้อยไปกว่าเกราะระดับพระเจ้าเลย
ชุดเกราะเหล่านี้
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงได้สร้างเตรียมไว้นานแล้ว เพียงแค่ยังมิได้มอบให้พวกเนี่ยลี่เท่านั้น
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ร้องขอ
ระดับพลังของเนี่ยลี่เลื่อนขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ในตอนนี้เขานั้นมีพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่สี่แล้ว
ในตอนนี้พวกเขาพร้อมที่จะออกศึกแล้ว
พวกเขาร่ำลาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงและออกมาด้านนอกในทันที
ในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนกำลังทันที
นิกายอสูรฟ้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พวกนิกายพิทักษ์สวรรค์เหตุใดจึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” หนึ่งในสามผู้นำของนิกายอสูรฟ้าพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
เขามีนามว่าเทพอสูรสือกัง เป็นนักรบอสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์
แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า ทั่วทั้งตัวและหัวของเขานั้นมีชุดเกราะที่ดูราวกับกระดูกห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งร่าง
ประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้าล้วนมีความแข็งแกร่งในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า[地狱:นรก]
“เรียนท่านประมุขกู่
วรยุทธของพวกมัน แตกต่างกับวรยุทธของพวกนิกายพิทักษ์สวรรค์อย่างเห็นได้ชัด
และดูเหมือนว่ากองกำลังส่วนใหญ่ของพวกมันจะเป็นชนเผ่าเมฆาสวรรค์” ทหารอสูรผู้หนึ่งคุกเข่ารายงานออกไป
มีอสูรที่ความสามารถพรางกาย สามารถหลบหนีกลับมารายงานได้
“ถ้าเช่นนั้น
พวกมันเป็นใครกันแน่?”
ประมุขคนที่สองของนิกายอสูรฟ้าเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง รูปร่างของมันราวกับสิงโต แต่มีเขาราวกับแกะอยู่บนหัว
ดวงตาสีแดงฉาน ร่างกายปกคลุมไปด้วยผิวหนังที่ราวกับเป็นเกราะโลหะ ชื่อของเขาคือเทพอสูรซื่อเจี้ย
[世界:โลก]
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบ
แต่ระดับพลังของพวกมันเหนือกว่าระดับเทพสงครามอย่างเห็นได้ชัด
ข้าไม่เคยพบเห็นระดับพลังที่สูงส่งถึงเพียงนั้นมาก่อน”
ทหารอสูรผู้นั้นรายงานด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้าก็หันมามองหน้ากัน ประมุขคนที่สามของนิกายอสูรฟ้าคือ
เทพอสูรเทียนถัง [天堂:สวรรค์]
เขามีร่างกายเป็นมังกร ที่มีลำตัวยาว เกล็ดที่อยู่รอบตัวเป็นสีดำเงา
เขาสามารถบินได้แม้ว่าจะไม่มีปีก
เขานั้นเป็นเทพอสูรที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดแม้ว่าจะอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าเท่ากันก็ตาม
“เจ้าจงออกไปก่อน”
เทพอสูรเทียนถังไล่ให้ทหารอสูรทุกคนออกไป
เขาต้องการที่จะพูดคุยกับเหล่าประมุขด้วยกันเท่านั้น
“ขอรับ!” เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าทหารอสูรก็ออกจากห้องไป
และปิดประตูไว้อย่างแน่นหนา
“พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ผู้เป็นบริวารแห่งเทพ
หากจะมีผู้ที่มีระดับพลังเกินกว่าพวกเรา
ก็จะต้องเป็นระดับเดียวกับท่านอาจารย์เท่านั้น”
เทพอสูรเทียนถังพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดแล้ว
“เจ้าจะบอกว่า
พวกมันมีระดับพลังเทียบเท่ากับท่านอาจารย์ผู้เป็นถึงบริวารแห่งเทพเช่นน้นหรือ?” เทพอสูรสือกังพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรที่จะแจ้งท่านอาจารย์เลยหรือไม่?” เทพอสูรซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“หากเจ้าทำเช่นนั้น
พวกเราก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากท่านอาจารย์อีก” เทพอสูรเทียนถังตอบกลับไป
เทพอสูรทั้งสามที่เป็นประมุขของนิกายอสูรฟ้านั้น
พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปกครองอาณาจักรกำแพงสวรรค์แห่งนี้มานับร้อยปี
แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดนิกายพิทักษ์สวรรค์ได้
และครอบครองดินแดนได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
หากพวกเขาแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเขาผู้เป็นบริวารแห่งเทพทราบ
ก็หมายความว่าพวกเขาทั้งสามนั้นไร้ความสามารถนั่นเอง
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะยอมให้คนพวกนั้น
บุกมาทำลายนิกายอสูรฟ้าของพวกเราหรืออย่างไร?”
เทพอสูรซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“พวกเจ้ายังจำเคล็ดวิชาผสานกายาได้หรือไม่? มันเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามที่อาจารย์ถ่ายทอดให้
แต่พวกเราไม่เคยกล้าที่จะใช้มัน!”
เทพอสูรเทียนถังพูดพร้อมกับถอนหายใจ...................จบตอน