test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

10 ธ.ค. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.46 ชัยชนะในศึกแรก



เมื่อเห็นกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า กู้เบ่ยจึงให้กำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ตรึงกำลังเอาไว้ก่อน จากนั้นกู้เบ่ยก็เรียกเจตจำนงแห่งกระบี่พรรชนออกมา

“เจตจำนงแห่งกระบี่พรรชน กระบี่หมื่นพิรุณ!” กู้เบ่ยเริ่มใช้เจตจำนงแห่งกระบี่พรรชน โดยการพุ่งกระบี่ขึ้นไปบนฟ้าและแยกตัวร่วงหล่นลงมาราวกับหยาดฝน ซึ่งสามารถสังหารยอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าได้นับหมื่นตน


“พวกมันมีจำนวนมากเกินไป” กู้เบ่ยพูดขึ้นมาด้วยความกังวล กระบวนท่ากระบี่หมื่นพิรุณนั้นแม้ว่าจะสามารถเก็บกวาดศัตรูได้เป็นจำนวนมากแต่ก็ต้องแลกกับการใช้พลังไปจำนวนที่มากเช่นกัน


“ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือแม้แต่ตนเดียว” หลงยู่อินหยิบมีดเขี้ยวมังกรออกมา และกระโจนออกไปเผชิญหน้ากับกองกำลังของนิกายอสูรฟ้า


“มังกรเคลื่อนสวรรค์!” หลงยู่อินหมุนตัวพุ่งออกไป มองดูราวกับมังกรที่กำลังเคลือนไหวอยู่บนสวรรค์ดั่งชื่อของกระบวนท่าที่นางใช้ ทุกที่ที่นางเคลื่อนผ่าน อสูรที่มีความแข็งแกร่งกว่าระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าจะล้มตายไปจนหมด


“เจ้าพวกมนุษย์อวดดี กำแพงอสูร!” อสูรที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปดตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันดังกึกก้อง เมื่อสิ้นเสียงมีอสูรราวพันตนก่อตัวเป็นกำแพงป้องกันการโจมตีของหลงยู่อิน ทำให้นางไม่อาจที่จะทะลวงไปได้อีก นางจึงจำต้องหมุนตัวกลับมา


“ดาบคลื่นเมฆา!” ทันทีที่หลงยู่อินกลับมา หลี่ชิงอวิ๋นใช้กระบวนท่าโจมตีซ้ำออกไปทันที แม้ว่ากำแพงอสูรจะแน่นหนาและสามารถป้องกันการโจมตีแบบบุกทะลวงด้านหน้าได้ แต่กระบวนท่าดาบคลื่นเมฆานั้นเป็นการโจมตีกระหน่ำจากด้านบน ที่มีการป้องกันที่น้อยกว่า กำแพงอสูรจึงพังลงไปอย่างง่ายดาย


ในตอนนี้ กองกำลังอสูรนับแสนตน ถูกสังหารไป เมื่อเห็นพวกของตนถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก เหล่ายอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าก็ยิ่งโกรธแค้นยิ่งขึ้น แล้วพุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมกัน


กองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์เห็นเช่นนั้น จึงรีบเข้ามาเสริมกำลังด้วยชุดเกราะระดับพระเจ้า ที่ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ใช้อยู่ ทำให้ยอดฝีมือของนิกายอสูรฟ้าไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่พวกเขาได้ และด้วยอาวุธระดับพระเจ้า การโจมตีของพวกเขานั้นแทบไม่ด้อยกว่าเจตจำนงแห่งกระบี่พรรชนเลยทีเดียว


เมื่อต้องพบกับความพ่ายแพ้ พวกนิกายอสูรฟ้าที่เหลืออยู่จึงรีบถอนกำลังออกไป แต่ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดหลบหนีไป พวกเขาไล่ตามไปสังหารกองกำลังของนิกายอสูรฟ้าจนหมด และตรึงกำลังอยู่โดยรอบ


กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น และหลงยู่อินยืนอยู่ท่ามกลางซากอาวุธของพวกอสูรที่ล้มตายไป ต้นไม้ในบริเวณนี้ ด้วยการต่อสู้อันรุนแรง จึงถูกทำลายจนไปราบเรียบ จนทำให้ไม่เห็นต้นไม้ในระยะหนึ่งลี้นี้เลยทีเดียว [ยอดฝีมือระดับเทพสงครามเมื่อตายไปร่างกายจะสลายไป ไม่เหลือศพ]


หลังจากนั้นไม่นานพวกเนี่ยลี่ก็เดินทางมาถึงทะเลสาบแห่งเทพแห่งนี้ และเริ่มทำการขโมยรากเทวะออกมา หลังจากที่โยนรากเทวะเข้าไปข้างในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไปแล้ว เนี่ยลี่ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง


“ดูเหมือนว่าชัยชนะในศึกแรกจะเป็นของพวกเรา แต่เมื่อเทียบกับกองกำลังทั้งหมดของพวกนิกายอสูรฟ้า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น” เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย


“เจ้าจะทำเช่นใดต่อไปอีก จะบุกยึดทะเลสาบแห่งเทพอีกแปดแห่งที่นิกายอสูรฟ้าครอบครองอยู่หรือไม่?” หลี่ชิงอวิ๋นถามออกไป


“ไม่จำเป็น หลังจากนี้เราจะบุกทะลวงผ่านป่าออกไป หากข้าขโมยรากเทวะจากทะเลสาบแห่งเทพไปทั้งหมด อาณาจักรแห่งนี้คงจะไม่มีสิ่งใดเหลืออีก” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับส่ายศีรษะ


“จากนี้ไปคงต้องเจอกับกองกำลังนับล้านของพวกนิกายอสูรฟ้า เป็นศึกใหญ่อย่างแท้จริง” กู้เบ่ยพูดพร้อมกับถอนหายใจ ในศึกแรกเขาเองก็ต้องใช้พลังไปไม่น้อย เนื่องจากจำนวนของศัตรูมีมากเกินไป

“หากเผชิญกับยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่แปดและเก้าจำนวนมาก พวกเราอาจจะไม่ได้รับชัยในศึกครั้งนี้ก็เป็นได้ ” หลงยู่อินพูดขึ้นมา กำแพงอสูรที่ใช้กำลังคนเพียงแค่พันคนสามารถต้านทานกระบวนท่ามังกรเคลื่อนสวรรค์ของนางได้


“ถ้าหากได้อาวุธจากเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง ศึกนี้คงจะง่ายดายยิ่งขึ้น” เนี่ยลี่ตอบกลับไป เขาก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน


เนี่ยลี่จึงตัดสินใจพาพวกเขาเข้าไปด้านในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ โดยฝากให้เสวียนอวี่ดูแลกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ให้อยู่ด้านนอก


ภายในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
         

      เนี่ยลี่ได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง ที่กำลังมุ่งมั่นในการตีกระบี่สำหรับกู้เบ่ยอยู่
         
      “หากพวกเจ้าต้องการอาวุธเร็วกว่านี้ ข้าคงไม่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้ แต่ถ้าหากเป็นชุดเกราะระดับพระเจ้า ข้านั้นมีเพียงพอสำหรับพวกเจ้าทั้งหกคน” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไปหลังจากได้ยินปัญหาของพวกเขา
         

      หลังจากที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงวางค้อนตีเหล็กลงและโบกมือขวาของเขา ชุดเกราะระดับพระเจ้า ทั้งหกชุดก็ลอยออกมาจากในร้าน และมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขาทั้งหกคนชุดทั้งหกมีลักษณะแตกต่างกันออกไป
         

      เกราะชุดแรกที่อยู่ตรงหน้าของลู่เพียวเป็นเกราะสีเขียว มีพลังแห่งวายุสถิตอยู่ มันแยกออกเป็นส่วน ๆ และพุ่งเข้ามาส่วมใส่ที่หน้าอก แขน ขา และมือทั้งสองข้างของเขา นี่คือเกราะเทพนักรบวายุสวรรค์
        

      เกราะชุดที่สองที่อยู่ตรงหน้าเซี่ยวซุ่ยเป็นสีเขียวอ่อน เป็นชุดเกราะอ่อนที่ไม่หนาเหมือนของลู่เพียวมีพลังแห่งวิญญาณสถิตอยู่ มันค่อย ๆ สวมเข้าร่างของเซี่ยวซุ่ยเช่นเดียวกัน ชื่อของชุดเกราะนี้คือเกราะวิญญาณสวรรค์
         

    เกราะชุดที่สามเป็นของกู้เบ่ย เป็นชุดเกราะหนักเช่นเดียวกับของลู่เพียว แต่เป็นสีน้ำเงินเข้ม เป็นชุดเกราะที่มีพลังแห่งวารีสถิตอยู่ เกราะธาราสวรรค์
        

     เกราะชุดที่สี่อยู่ตรงหน้าของหลี่ชิงอวิ๋นเป็นชุดเกราะสีเทา ที่มีพลังแห่งเมฆาสถิตอยู่ ชื่อของมันคือ เกราะเทพเมฆา


เกราะชุดที่ห้าเป็นเกราะอ่อนของหลงยู่อิน เป็นชุดเกราะสีแดงเพลิง ที่ดูกระชับเข้ารูป ชื่อของมันคือ เกราะมังกรเพลิง


เกราะชุดสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าเนี่ยลี่ เป็นชุดเกราะสีขาว ที่มีความโดดเด่นยิ่งนักเมื่อสวมใส่แล้ว เป็นเกราะหุ้มทั้งตัว เป็นเกราะที่ไม่มีพลังอันใดสถิตอยู่ แต่เป็นเกราะที่แข็งแกร่งมากที่สุดและสามารถป้องกันได้ทุกธาตุ เป็นเกราะที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงทำให้จักรพรรดิคงหมิงในทุกชาติภพ ชื่อของมันคือเกราะนักรบเทพวิญญาณ


ทันทีที่สวมใส่ชุดเกราะ พลังของทั้งหกคนก็เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากได้รับการเกื้อหนุนจากพลังที่สถิตอยู่ในเกราะ พวกเขาทั้งหกสามารถซ่อนหรือให้ชุดเกราะปรากฏขึ้นมาได้ดั่งใจ
         

    สำหรับเทพธิดายู่หยานและเซี่ยวหยู่นั้น เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงคิดว่าพวกนางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชุดเกราะพวกนี้ เซี่ยวหยู่นั้นมีเกราะที่ได้รับมอบมาจากบิดาและมารดาของนางอยู่แล้ว ส่วนเทพธิดายู่หยานนั้นผ้าไหมที่นางสร้างขึ้นมาจากลมปราณ นางสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วกว่า และพลังป้องกันก็มิได้ด้อยไปกว่าเกราะระดับพระเจ้าเลย
         

      ชุดเกราะเหล่านี้ เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงได้สร้างเตรียมไว้นานแล้ว เพียงแค่ยังมิได้มอบให้พวกเนี่ยลี่เท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ร้องขอ
         

     ระดับพลังของเนี่ยลี่เลื่อนขึ้นอีกหนึ่งระดับ ในตอนนี้เขานั้นมีพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่สี่แล้ว


ในตอนนี้พวกเขาพร้อมที่จะออกศึกแล้ว พวกเขาร่ำลาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงและออกมาด้านนอกในทันที


ในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนกำลังทันที


นิกายอสูรฟ้า
         

     “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกนิกายพิทักษ์สวรรค์เหตุใดจึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” หนึ่งในสามผู้นำของนิกายอสูรฟ้าพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เขามีนามว่าเทพอสูรสือกัง เป็นนักรบอสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า ทั่วทั้งตัวและหัวของเขานั้นมีชุดเกราะที่ดูราวกับกระดูกห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งร่าง ประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้าล้วนมีความแข็งแกร่งในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า[:นรก]
         

         “เรียนท่านประมุขกู่ วรยุทธของพวกมัน แตกต่างกับวรยุทธของพวกนิกายพิทักษ์สวรรค์อย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนว่ากองกำลังส่วนใหญ่ของพวกมันจะเป็นชนเผ่าเมฆาสวรรค์” ทหารอสูรผู้หนึ่งคุกเข่ารายงานออกไป มีอสูรที่ความสามารถพรางกาย สามารถหลบหนีกลับมารายงานได้
         

        “ถ้าเช่นนั้น พวกมันเป็นใครกันแน่?” ประมุขคนที่สองของนิกายอสูรฟ้าเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง รูปร่างของมันราวกับสิงโต แต่มีเขาราวกับแกะอยู่บนหัว ดวงตาสีแดงฉาน ร่างกายปกคลุมไปด้วยผิวหนังที่ราวกับเป็นเกราะโลหะ ชื่อของเขาคือเทพอสูรซื่อเจี้ย [世界:โลก]
         

     “เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบ แต่ระดับพลังของพวกมันเหนือกว่าระดับเทพสงครามอย่างเห็นได้ชัด ข้าไม่เคยพบเห็นระดับพลังที่สูงส่งถึงเพียงนั้นมาก่อน” ทหารอสูรผู้นั้นรายงานด้วยความหวาดกลัว
         

      เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประมุขทั้งสามของนิกายอสูรฟ้าก็หันมามองหน้ากัน ประมุขคนที่สามของนิกายอสูรฟ้าคือ เทพอสูรเทียนถัง [天堂:สวรรค์] เขามีร่างกายเป็นมังกร ที่มีลำตัวยาว เกล็ดที่อยู่รอบตัวเป็นสีดำเงา เขาสามารถบินได้แม้ว่าจะไม่มีปีก เขานั้นเป็นเทพอสูรที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดแม้ว่าจะอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าเท่ากันก็ตาม
         

      “เจ้าจงออกไปก่อน” เทพอสูรเทียนถังไล่ให้ทหารอสูรทุกคนออกไป เขาต้องการที่จะพูดคุยกับเหล่าประมุขด้วยกันเท่านั้น
         

       “ขอรับ!” เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าทหารอสูรก็ออกจากห้องไป และปิดประตูไว้อย่างแน่นหนา
         

      “พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ผู้เป็นบริวารแห่งเทพ หากจะมีผู้ที่มีระดับพลังเกินกว่าพวกเรา ก็จะต้องเป็นระดับเดียวกับท่านอาจารย์เท่านั้น” เทพอสูรเทียนถังพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดแล้ว
         

       “เจ้าจะบอกว่า พวกมันมีระดับพลังเทียบเท่ากับท่านอาจารย์ผู้เป็นถึงบริวารแห่งเทพเช่นน้นหรือ?” เทพอสูรสือกังพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
         

     “ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรที่จะแจ้งท่านอาจารย์เลยหรือไม่?” เทพอสูรซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
         
     “หากเจ้าทำเช่นนั้น พวกเราก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากท่านอาจารย์อีก” เทพอสูรเทียนถังตอบกลับไป
         

       เทพอสูรทั้งสามที่เป็นประมุขของนิกายอสูรฟ้านั้น พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปกครองอาณาจักรกำแพงสวรรค์แห่งนี้มานับร้อยปี แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดนิกายพิทักษ์สวรรค์ได้ และครอบครองดินแดนได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น หากพวกเขาแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเขาผู้เป็นบริวารแห่งเทพทราบ ก็หมายความว่าพวกเขาทั้งสามนั้นไร้ความสามารถนั่นเอง
         

     “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะยอมให้คนพวกนั้น บุกมาทำลายนิกายอสูรฟ้าของพวกเราหรืออย่างไร?” เทพอสูรซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

         

       “พวกเจ้ายังจำเคล็ดวิชาผสานกายาได้หรือไม่? มันเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ แต่พวกเราไม่เคยกล้าที่จะใช้มัน!” เทพอสูรเทียนถังพูดพร้อมกับถอนหายใจ...................จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง