“พวกข้าก็มิได้รังเกียจของขวัญจากเจ้า
เชิญเข้าไปได้แต่อย่าได้สร้างปัญหาในอาณาจักรแห่งนี้เป็นอันขาด
หาไม่แล้วเจ้าจะไม่ได้กลับออกไป” ทหารยามรับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณจากเนี่ยลี่
และอนุญาตให้เขาเข้าไปได้
เมื่อก้าวเข้าไปด้านในกำแพง
อาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นใหญ่โตโอ่อ่ามากนัก มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โต
มีผู้คนเดินผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก
เนี่ยลี่เลือกเดินไปยังด้านหนึ่งของเมือง
ที่เป็นชุมชนเล็ก ๆ
ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในชุมชนนี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง
เป็นชุมชนของช่างที่ทำของวิเศษเพื่อนำออกขาย
แต่ก็มีทั้งร้านตีอาวุธขนาดใหญ่และเล็ก
เนี่ยลี่ไปยืนอยู่หน้าร้านตีอาวุธแห่งหนึ่ง
ป้ายหน้าร้านมีชื่อสลักไว้บนแผ่นโลหะเก่า ๆ ว่า เสิ่นหวู่ซี่ [神武器:เทพศาสตราวุธ] เนี่ยลี่ยืนยิ้มที่หน้าร้าน
เขาเคยมายังที่แห่งนี้ในชีวิตที่แล้ว
และได้รับอาวุธและชุดเกราะวิเศษไปใช้ต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่เพียงร้านตีเหล็กเล็ก
ๆ ในเมืองใหญ่เท่านั้น
“เจ้ามายืนยิ้มที่หน้าร้านของข้าด้วยเหตุใดกัน?” ชายชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งตีดาบอยู่
เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เขาเป็นชายชราที่ไม่มีเส้นผมเลยสักเส้น
แต่ก็มีหนวดเคราสีขาว ร่างกายของเขามีกล้ามอันใหญ่โต
เนื่องจากต้องใช้แรงในการตีอาวุธ และมิได้สวมใส่เสื้อ มีเพียงแค่กางเกงเก่า ๆ
ที่แทบจะไม่อาจระบุสีได้ เขาผู้นี้คือ เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง [铁匠:ช่างตีเหล็ก]
“ข้าขออภัยท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยง
ข้าเพียงแค่คิดถึงความหลังเท่านั้น
ข้ามาที่ร้านของท่านเนื่องจากต้องการให้ท่านช่วยตีอาวุธและชุดเกราะให้แก่ข้า”
เนี่ยลี่ประสานมือและก้มหัวพูดออกไปอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นท่าทีอันสุภาพของเนี่ยลี่
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้
ที่สำคัญเนี่ยลี่ยังรู้จักชื่อของเขาอีกด้วย และร้านค้าเล็ก ๆ
ของเขาก็ไม่ค่อยมีผู้ใดเข้ามาสักเท่าใดนัก
“เจ้าเองก็เห็นว่าร้านของข้าเป็นเพียงร้านตีอาวุธเล็ก
ๆ เท่านั้น
ข้ามีเพียงวัตถุดิบที่ทำได้เพียงแค่อาวุธและชุดเกราะวิเศษระดับที่ต่ำกว่าขั้นที่หกเท่านั้น”
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป จากนั้นก็หันไปตีเหล็กต่อ
“ข้าต้องการอาวุธและชุดเกราะที่เหนือกว่าขั้นที่เก้า!” เนี่ยลี่ยังคงพูดออกไปด้วยท่าทางที่สุภาพเช่นเดิม
“เจ้าล้อข้าเล่นหรืออย่างไร
การตีอาวุธและชุดเกราะที่เหนือกว่าขั้นที่เก้านั้น ต้องใช้ศิลาจิตวิญญาณนับร้อยล้านก้อน
ร้านเล็ก ๆ ของข้าไม่มีเงินทุนมากถึงเพียงนั้นหรอก” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
ตอบมาขณะที่ในมือยังคงตีเหล็กต่อไป
[ศิลาจิตวิญญาณใช้เป็นเชื้อเพลิงในการตีอาวุธและชุดเกราะวิเศษ]
“หากมิใช่อาวุธและชุดเกราะจากฝีมือของท่าน
อาวุธและชุดเกราะเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากเศษเหล็กเท่านั้น
ข้าจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบทั้งหมดให้แก่ท่านเอง”
เนี่ยลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง
“ข้าขอปฏิเสธ! เจ้าจงไปหาร้านตีเหล็กอื่นเถิด” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงโบกมือไล่
และตั้งใจตีเหล็กต่อไป
“ข้าจะขอคุกเข่าอยู่ตรงนี้
จนกว่าท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยง จะยอมรับคำร้องขอจากข้า”
เนี่ยลี่ประสานมือและคุกเข่าลงอยู่ตรงหน้าร้าน
ในชีวิตที่แล้วเขาต้องคุกเข่าอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงจึงรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเขา
และยอมตีกระบี่ให้แก่เขา
เจ็ดวันผ่านไปเนี่ยลี่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม
แต่ก็ดูเหมือนว่าเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงนั้นก็หาได้สนใจไม่
ยังคงนั่งตีเหล็กอยู่ตรงนั้น ในยามค่ำคืนเขาก็กลับเข้าไปพักผ่อนในร้านของเขา
ปล่อยให้เนี่ยลี่นั่งคุกเข่าอยู่เพียงลำพัง
ด้านในร้านค้า
ที่เป็นที่พักของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง มีหญิงสาวผู้หนึ่งรินน้ำชาให้แก่เขา นางเป็นหญิงสาวอายุราวสิบแปดปี
สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ แต่ก็ไม่อาจบดบังความสวยงามของนางได้
หากนางได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง นางก็งดงามไม่ต่างจากคุณหนูของตระกูลใหญ่ ๆ
เลยทีเดียว
“เหตุใดท่านปู่จึงปฏิเสธที่จะตีอาวุธให้เขา
เขานั้นอาสาที่จะหาวัตถุดิบให้ ท่านปู่แค่เพียงตีอาวุธให้เขา
และรับค่าจ้างเท่านั้น การที่เขากล้าเสนอเช่นนี้ เขาย่อมมีเงินทองมากมาย
อาจจะทำให้ร้านของเราใหญ่โตขึ้นได้
และเขาก็อดทนคุกเข่าอยู่ที่หน้าร้านมาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว”
หลานสาวของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงนั้นอดสงสัยไม่ได้
“ฮัวเตี่ย
ข้าจะตีอาวุธและชุดเกราะระดับพระเจ้า ให้แก่ผู้ที่คู่ควรกับมันเท่านั้น
เรื่องเงินทองนั้นหาได้สำคัญกับชายแก่เช่นข้าไม่” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขณะที่ยกชาขึ้นมาดื่ม
[花铁:ฮัวเตี่ย:ดอกไม้เหล็ก]
“ท่านปู่จะให้เขานั้นคุกเข่าไปอีกนานเท่าใดกัน”
ฮัวเตี่ยพูดพร้อมกับรินน้ำชาเพิ่มให้แก่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับฟ้าดิน
เขาเองก็เป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม การอดข้าวอดน้ำแค่ไม่กี่วัน
สำหรับเขาก็ไม่ต่างจากการนั่งพักผ่อนเท่านั้น” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงดังออกมาถึงด้านนอก
เนี่ยลี่เองก็ได้ยินถึงเสียงหัวเราะนั้น
เขารู้ดีว่านี่เป็นการทดสอบของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องนั่งคุกเข่ายาวนานกว่าชีวิตที่แล้วเช่นนี้
ในทุก ๆ วัน
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงก็ออกมานั่งตีอาวุธ โดยที่ไม่สนใจเนี่ยลี่เลยแม้แต่น้อย
แต่เนี่ยลี่ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
ผ่านไปราวหนึ่งเดือน
ที่เนี่ยลี่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม แต่ร่างกายของเขาเริ่มที่จะอ่อนล้า
แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ราวกับเป็นรูปปั้นหิน
ดวงตาของเขานั้นเริ่มที่จะปิดลง ทันใดนั้นก็มีฝนโปรยปรายลงมา
แต่ก็ไม่มีฝนที่ร่วงหล่นมากระทบร่างกายเขาแม้แต่น้อย เนี่ยลี่เงยหน้ามองขึ้นไป
ก็เห็นว่าเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง ยืนกางร่มให้เขาอยู่
“เจ้าจงเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อน
เมื่อแข็งแรงดีแล้วเจ้าค่อยมาคุยกับข้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
และเป็นมิตร
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเถี่ยเจี้ยง”
เนี่ยลี่รีบกล่าวขอบคุณและพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเหนื่อยล้าเกินไป
เมื่อลุกขึ้นดูเหมือนว่าขาของเขาจะไม่มีแรง ทำให้เดินเซไปไม่น้อย
“ฮัวเตี่ย
จัดเตรียมที่พักให้คุณชายท่านนี้ด้วย” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตะโกนเข้าไปด้านในขณะที่ช่วยประคองเนี่ยลี่เข้าไป
หลังจากที่ได้เข้าไปพัก
เนี่ยลี่ก็นอนหลับไป เขาหลับสนิทไปถึงสองวันเนื่องจากนั่งคุกเข่ามานานกว่าหนึ่งเดือน
เมื่อตื่นขึ้นมาเขาจึงได้ทานอาหารและไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และมานั่งคุยกับ
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
“เจ้าต้องการอาวุธและชุดเกราะของข้า
ไปทำสิ่งใดกัน” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงจ้องมองเนี่ยลี่และถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“อีกไม่นานโลกใบนี้จะต้องเผชิญหน้ากับสงครามครั้งใหญ่กับจักรพรรดิปราชญ์
ข้าต้องการอาวุธและชุดเกราะให้แก่ตนเองและสหาย เพื่อใช่ต่อสู้ในศึกที่ว่านี้”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังเช่นกัน
“เจ้าคือชายผู้นั้นสินะ?” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ข้าไม่เข้าใจ
ท่านหมายถึงจักรพรรดิคงหมิงเช่นนั้นหรือ?”
เนี่ยลี่ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าคือหนึ่งในหกคนที่เจ้าตามหา
ในหลายชาติภพที่ผ่านมาของเจ้า ข้านั้นก็สร้างอาวุธและชุดเกราะให้แก่เจ้า โดยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้า
เพราะข้าไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมในสงครามนี้
และข้าก็ได้สร้างของที่ใช้ปิดกั้นพลังเอาไว้
แต่ดูเหมือนว่าในชาติภพนี้ของเจ้า
ข้าจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
เพราะข้าสัมผัสถึงเจตจำนงของคงหมิงที่อยู่ในกายของเจ้า คงหมิงเคยบอกแก่ข้าเอาไว้ว่า
หากข้าได้พบกันตัวของเขาในชาติภพใดที่มีเจตจำนงของเขาอยู่ นั่นจะเป็นศึกสุดท้าย
หากไม่อาจเอาชนะในศึกนี้ได้ โลกนี้ก็จะถึงจุดจบ” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดอธิบายอย่างช้า
ๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
เนี่ยลี่ก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก ในตอนนี้เขาได้พบกับคนที่เขาตามหาอีกหนึ่งคนแล้ว
จอมมาร ต้วนเจี้ยน กู้หลาน เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง ตอนนี้เขาพบกับสี่ในหกคนแล้ว
“จากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ตีอาวุธและชุดเกราะให้แก่เจ้า
เจ้าจงไปหาวัตถุดิบเหล่านี้มาให้แก่ข้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งแก่เนี่ยลี่
เป็นรายชื่อวัตถุดิบ ที่จะต้องใช้ตีอาวุธและชุดเกราะวิเศษระดับพระเจ้า
ของบางอย่างหาซื้อได้ในเมืองนี้ แต่ก็ราคาสูงยิ่งนัก
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณและ
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำให้ได้เป็นจำนวนมากก่อน
เนี่ยลี่เดินกลับเข้าไปยังย่านการค้า
เพื่อมองหาร้านรับแลกเงินก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนศิลาจิตวิญญาณ
ให้กลายเป็นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ เนี่ยลี่เดินเข้าไปยังร้านแลกเงินเล็ก ๆ
แห่งหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสิ่งใด
ท่านสามารถบอกแก่ข้าได้เลย” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาให้การต้อนรับเนี่ยลี่
“ข้าต้องการแลกศิลาจิตวิญญาณ
เป็น ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ” เนี่ยลี่หยิบแหวนห้วงมิติออกมาวงหนึ่งมาไว้ในมือ
“ที่ร้านของเรารับแลกอยู่ที่
ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันสองร้อยก้อน ต่อศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งก้อน
ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการแลกจำนวนเท่าใดกัน” ชายวัยกลางคนบอกอันตรแลกเปลี่ยนออกไป
การรับแลกศิลาจิตวิญญาณนี้มีกำไรมาก เมื่อเทียบกับการค้าขายของอื่น ๆ เขาคิดว่าเนี่ยลี่คงจะนำมาแลกเปลี่ยนจำนวนไม่มากนัก
จึงโก่งราคาแลกเปลี่ยนไป
“ข้าต้องการแลกเปลี่ยนในอัตราศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยก้อน
ต่อศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งก้อน
ในแหวนของข้ามีศิลาจิตวิญญาณอยู่หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านก้อน
หากท่านไม่ตกลงข้าจะแลกเปลี่ยนที่ร้านอื่น”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับโยนแหวนห้วงมิติให้แก่ชายผู้นั้น
เมื่อได้ยินเนี่ยลี่พูดเช่นนั้น
เขารีบรับแหวนห้วงมิติมาตรวจสอบอย่างรวดเร็วและเห็นว่ามีศิลาจิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมากจริง
เขารีบก้มหัวพูดกับเนี่ยลี่ด้วยความนอบน้อมว่า
“ราคาที่คุณชายเสนอมานั้นเหมาะสมยิ่งแล้ว
ข้าจะนำศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ จำนวนหนึ่งพันก้อน
มามอบให้คุณชายเห็นว่าเป็นเช่นใด”
“ตกลง!
หากได้ราคาเช่นนี้ข้าก็มีศิลาจิตวิญญาณอีกเป็นจำนวนมากที่จะแลกที่ร้านของเจ้า”
เนี่ยลี่พยักหน้าตอบกลับไป การได้ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งพันก้อน
ย่อมสะดวกกว่าการได้ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน
แต่ดูเหมือนว่าจำนวนเงินเพียงเท่านี้ยังไม่พอสำหรับซื้อวัตถุดิบที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงต้องการ
“เชิญคุณชายขึ้นไปยังห้องรับรองก่อน
เจ้าของร้านต้องการพูดคุยกับท่าน” ชายผู้นั้นพาเนี่ยลี่ขึ้นไปยังชั้นสอง
เป็นห้องรับรองพิเศษ และพบว่ามีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนนั่งรออยู่
เขาคือเจ้าของร้านแลกเงินนี้ มีชื่อว่า ฟู่จิน [富金:ร่ำรวยทองคำ]
“เชิญคุณชาย ข้าคือเจ้าของร้านแลกเงินแห่งนี้มีนามว่า ฟู่จิน
ลูกน้องของข้าแจ้งมาว่าท่านต้องการแลกเปลี่ยนศิลาจิตวิญญาณจำนวนมากที่ร้านของเรา
ข้าจึงอยากจะพูดคุย เป็นการส่วนตัวกับคุณชาย” เถ้าแก่ฟู่พูดกับเนี่ยลี่อย่างสุภาพพร้อมกับยื่นแหวนที่มีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ
จำนวนหนึ่งพันก้อนให้แก่เนี่ยลี่
“เถ้าแก่ฟู่ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว
ข้านั้นมีนามว่าเนี่ยลี่ ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านก้อนที่ข้าแลกไป
มันก็แค่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น” เนี่ยลี่รับแหวนห้วงมิติมาพร้อมกับยิ้มและพูดออกไป
“ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการแลกอีกสักเท่าใดกัน?” เถ้าแก่ฟู่ถามออกไปอย่างมีความหวังที่จะได้ทำการค้าครั้งใหญ่
“ข้าต้องการแลกศิลาจิตวิญญาณจำนวน
หนึ่งล้านล้านก้อน แต่ข้าจะยอมจ่ายค่าแลกเปลี่ยนแค่เพียงห้าหมื่นล้านก้อนเท่านั้น”
เนี่ยลี่จ้องหน้าเถ้าแก่ฟู่และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง....จบตอน