“มีคุณชายผู้นำตระกูลใหญ่มาสู่ขอ
แต่นางบอกว่าอยากจะรอความเห็นชอบจากอาจารย์ของนางก่อน” กู้หลานพูดพร้อมกับยิ้ม
“คุณชายที่โชค....ระ..ดีคนนั้นคือใครกัน”
ลู่เพียวถามขึ้นมาก่อนที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดจนจบประโยค
“เนี่ยลี่ เจ้าจะว่าอันใดหรือไม่ หากข้าจะแต่งงานกับยู่อิน”
หลี่ชิงอวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“พี่ชิงอวิ๋น
เป็นท่านเองหรือ? หากเป็นท่านข้าก็ไม่มีปัญหาอันใด”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยความยินดี
เดิมทีเขานั้นก็ไม่อาจที่จะตอบรับความรู้สึกจากหลงยู่อินได้ แต่เขาก็เป็นห่วงและต้องการให้หลงยู่อินได้พบกับคนที่ดี
“สามเดือนที่ผ่านมา
ข้าใคร่ครวญเป็นอย่างดีแล้ว บ้านเกิดของอาจารย์ก็อยู่ที่โลกใบเล็ก
ท่านคงไม่คิดที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อาณาจักรนี้ตลอดไป ช่วงเวลาที่ข้าโศกเศร้า
พี่ชิงอวิ๋นก็ได้เข้ามาปลอบใจ” หลงยู่อินก้มหน้าพูดใบหน้าของนางค่อย ๆ
เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หลายเดือนมานี้นางได้ทำภารกิจร่วมกับหลี่ชิงอวิ๋นจึงมีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกัน
“ยู่อิน
แม้ว่าเจ้าจะเคารพข้าเป็นอาจารย์ แต่ที่ผ่านมา ข้าก็มองเจ้าเป็นดั่งสหายผู้หนึ่ง
จากนี้ไป เจ้าก็จงเรียกชื่อข้าดั่งสหายผู้อื่นเถิด สำหรับการแต่งงานของเจ้ากับพี่ชิงอวิ๋น
ข้านั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก ผู้นำสองตระกูลใหญ่แต่งงานกันเช่นนี้
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ของเรา ก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก” เนี่ยลี่จับไหล่ของหลงยู่อินและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แต่พี่ชิงอวิ๋นคงต้องผ่านด่าน
ท่านป้าซูอวิ๋นให้ได้ก่อนนะ”
เนี่ยลี่หันไปมองหลี่ชิงอวิ๋นและพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
“ข้ายอมรับข้อเสนอของ
ท่านหลงซูอวิ๋นไปแล้ว บุตรชายคนแรกข้าจะให้ใช้แซ่หลง
แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีบุตรชายเพียงคนเดียวหรอกนะ!”
หลี่ชิงอวิ๋นหัวเราะและตอบกลับไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้
ใบหน้าของหลงยู่อินก็แดงไปจนถึงลำคอ
“ตอนนี้ระดับพลังของทุกคนเป็นเช่นใดบ้าง”
เนี่ยลี่กวาดสายตามองทุกคนและถามออกไป
“ตอนนี้
กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น หลงยู่อิน และข้านั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว”
กู้หลานตอบออกไป
“ถ้าเช่นนั้น
ก็มีเพียงข้าและพี่ยู่หยานที่ระดับพลังยังอยู่ในระดับเทพสงครามสินะ”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับพยักหน้า
“ตอนที่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ข้านั้นได้เห็นนิมิตบางอย่าง ตามที่กู้เบ่ยได้บอกไว้
ดูเหมือนข้าจะเป็นหนึ่งในหกคนที่กลับชาติมาเกิด” กู้หลานพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
“ท่านคือคนที่สามเช่นนั้นหรือ?” เนี่ยลี่พูดขึ้นด้วยความตกใจ
เดิมทีเขาคิดว่ากู้เบ่ยจะเป็นหนึ่งในหกคนที่เขาตามหา
แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นกู้หลานแทน
“ท่านกู้หลาน
เห็นนิมิตในเรื่องอันใดบ้าง?”
ต้วนเจี้ยนที่ยืนเงียบอยู่อดไม่ได้ที่จะถามออกไป เขาต้องการรู้ว่านิมิตที่นางเห็น จะเป็นเช่นเดียวกับในความทรงจำของเขาหรือไม่
“นิมิตที่ข้าเห็นคือการผนึกร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์เอาไว้ด้วยกระดูกมนตราทั้งหก
เมื่อสามารถผนึกร่างแยกทั้งหกได้ จักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงจะปรากฏขึ้นมา”
กู้หลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อย ๆ พูดขึ้นมา
“แค่ทำให้จักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงปรากฏตัวขึ้นมาได้
ก็นับว่ายยอดเยี่ยมแล้ว” เนี่ยลี่พูดขึ้นมา เขานั้นครุ่นคิดถึงในชีวิตที่แล้ว
จักรพรรดิปราชญ์ได้ใช้ร่างแยกไปต่อสู้หลายแห่ง
เขาจึงได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงได้
คงการที่พลังของจักรพรรดิปราชญ์ลดลงไปตอนที่สู้กับเขา
คงเป็นเพราะร่างแยกของเขาถูกผนึกไป
“เราจะพูดคุยเรื่องอื่นกันในภายหลัง
รอให้จบงานแต่งงานของพี่ชิงอวิ๋นกับยู่อินก่อน” เนี่ยลี่ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย
เพราะการคุยกันเรื่องหนัก ๆ คงจะไม่เหมาะกับงานมงคลเป็นแน่
“ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมงานมงคลของเราทั้งสองด้วย”
หลี่ชิงอวิ๋นลุกยืนขึ้นพร้อมกับชักชวนทุกคน
“แน่นอน”
เหล่าสหายจากโลกใบเล็กตอบกลับพร้อมกัน
“พรุ่งนี้ข้าจะให้บิดาของข้า
ไปคุยกับทางบ้านของยู่อินเพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสม แล้วข้าจะรีบมาแจ้งกับทุกคน”
หลี่ชิงอวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
สามวันต่อมา
ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีงานใหญ่เกิดขึ้น สองตระกูลใหญ่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน
ทั่วทั้งนิกายถูกตกแต่งไปด้วยสีแดง มีคนจากนิกายอื่น ๆมาร่วมยินดี
ซึ่งรวมถึงผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุกคน ซึ่งก็นับว่าเป็นการดี หลังจากงานมงคลแล้ว
ทุกคนจะได้เดินทางกลับไปพร้อมกับผู้นำนิกาย
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ มองดูงานแต่งแล้ว พวกนางก็อดคิดไม่ได้ว่า
เมื่อไหร่กันที่จะได้แต่งงานกับเนี่ยลี่
เพียงแค่คิดขึ้นมาใบหน้าของทั้งสองคนก็กลายเป็นสีแดงเข้มม
เนี่ยลี่แอบมองทั้งสองคน
และก็ได้แต่แอบยิ้ม หากการต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์จบลง เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับทั้งสองคนอย่างสงบ
และคงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพอีกต่อไป
หลังจบงานมงคล
เหล่าสหายของเนี่ยลี่ต่างก็ติดตามผู้นำนิกายของตนกลับไป
กู้เบ่ย กู้หลาน ลู่เพียว ได้มานั่งพูดคุยกับเนี่ยลี่ที่ตำหนักผู้นำนิกาย
“เจ้าจะให้พวกข้า
ทำเรื่องใดกันหลังจากนี้” กู้หลานถามขึ้นมา เมื่อเนี่ยลี่กลับมา
นางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาการในตำแหน่งผู้นำนิกายอีกต่อไป
“ข้าคงต้องฝากให้พี่กู้หลาน
ดูแลนิกายต่อไปอีก ข้านั้นจะออกเดินทางไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์”
เนี่ยลี่มองไปที่กู้หลานและพูดขึ้นมา
อาณาจักรกำแพงสวรรค์ เป็นหนึ่งในเก้าอาณาจักร ซึ่งในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ยอดฝีมือส่วนใหญ่ก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขึ้นไป
เนี่ยลี่ต้องการที่จะไปรวบรวมยอดฝีมือก่อนที่สงครามครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น
“อาณาจักรกำแพงสวรรค์มันคือที่ใดกัน?” ลู่เพียวถามด้วยความสงสัย
“เป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรซากมังกร
ที่นั่นมีนิกายใหญ่เพียงแค่สองนิกายที่ถ่วงดุลอำนาจกันอยู่คือนิกายพิทักษ์สวรรค์
และนิกายอสูรฟ้า
หากทั้งสองไม่ถ่วงดุลกันอยู่
อาณาจักรซากมังกรคงจะตกเป็นของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปแล้ว” เนี่ยลี่อธิบาย
“แม้จะมีมนุษย์อยู่
แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรกับพวกเราเช่นนั้นหรือ?”
ลู่เพียวถามต่อไปอีก
“นิกายพิทักษ์สวรรค์
แม้ว่าจะเป็นฝ่ายมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือผู้ใด
ผู้ที่ระดับพลังต่ำกว่าเทพสงคราม จะไม่สามารถเข้าไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์ได้” เนี่ยลี่ตอบ
แต่ในชีวิตที่แล้วของเขา
ก็มียอดฝีมือจากนิกายพิทักษ์สวรรค์ เข้าร่วมต่อสู้เคียงข้างเขา
แต่ก็เป็นเพราะจักรพรรดิปราชญ์นั้นเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็เท่านั้น
“เจ้าจะเดินทางเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ?” กู้เบ่ยพูดแทรกขึ้นมา
“ข้า พี่ยู่หยาน และเซี่ยวยู่ที่อยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
และยังมีจินตานอีกด้วย”
“ขอให้พวกเจ้าคอยจับตาการเคลื่อนไหวของนิกายเทพอสูรให้ดี
หากพวกนั้นคิดจะบุกไปนิกายใด ให้พวกเจ้าส่งกำลังไปช่วยเหลือในทันที”
เนี่ยลี่มองไปที่ทั้งสามคนและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“จริง ๆ
แล้วข้าต้องการที่จะให้พี่กู้หลานไปหลบซ่อนอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
แต่ข้ายังต้องขอให้ท่านดูแลนิกายไปก่อน เมื่อกลับมาจากอาณาจักรกำแพงสวรรค์
ข้าจะให้ท่านไปอยู่ข้างในนั้น” เนี่ยลี่มองไปที่กู้หลานพร้อมกับถอนหายใจ ในตอนนี้
คนที่เขาเชื่อใจได้ยังมีน้อยเกินไป
“จริงสิเนี่ยลี่
เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่า พลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้นั้นสามารถทำสิ่งใดได้
และจะเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ได้หรือไม่?”
ลู่เพียวเอ่ยถามออกไป
เขารู้เพียงแค่ว่าเนี่ยลี่รวบรวมพลังสัจธรรมได้แล้วถึงสามสิบห้าชนิด
“เดิมทีข้าสามารถใช้พลังสัจธรรมได้พร้อมกันสามชนิด ที่ข้าครอบครองอยู่
แต่เมื่อรวบรวมพลังสัจธรรมทั้งหมดเอาไว้ในดวงจิตของสัจธรรมแห่งความว่างเปล่าข้าจะเรียกใช้ได้เพียงหนึ่งพลังเท่านั้น
หลังจากที่ได้พลังสัจธรรมแห่งความว่างเปล่า
ข้าสามารถเรียกพลังสัจธรรมหลายชนิดมาใช้พร้อมกันได้
แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะเรียกใช้พร้อมกันได้สูงสุดกี่ชนิด และดูเหมือนว่า
จะสามารถใช้พลังสัจธรรมในตอนที่ผสานเข้ากับจิตอสูรตนอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน”
เนี่ยลี่ตอบกลับไป
เขานั้นยังไม่ได้ทดสอบการใช้พลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้ทั้งหมด
แต่ดูเหมือนว่าพลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้จะเชื่อมต่อกับดวงจิตทั้งหมดที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเขา
“แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดกัน?” กู้หลานถามออกไปบ้าง
“พรุ่งนี้!” เนี่ยลี่ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปที่พัก
ทางด้านเนี่ยลี่ก็เข้าไปยังตำหนักชมจันทร์และลองขยายพื้นที่ตำหนักชมจันทร์ออกไป
เดิมทีตำหนักชมจันทร์มีความกว้างเพียงแค่ห้อง ๆ หนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อระดับพลังของเขาสูงขึ้น
เขาสามารถขยายพื้นที่ของตำหนักออกไป จนมีขนาดประมาณหมู่บ้านเล็ก ๆ สักแห่ง
ที่สามารถสร้างบ้านได้หลายสิบหลัง เขาได้ทดลองใช้พลังสัจธรรมหลาย
ๆชนิดในการปรับแต่งสภาพของตำหนักชมจันทร์
ในตอนนี้ตำหนักชมจันทร์ก็ราวกับเป็นโลกเล็ก ๆใบหนึ่งของเนี่ยลี่ ที่มีทั้งแม่น้ำ
ภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ขาดเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่ออกเดินทางไปทางทิศเหนือ ด้วยระดับพลังในขั้นเทพสงคราม
ทำให้เขาสามารถบินไปได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ข้ามวันเขาก็ไปถึงอาณาจักรกำแพงสวรรค์
อาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยกำแพงใหญ่
รอบทั้งอาณาจักร เป็นการป้องกันผู้ลักลอบเข้าไปยังอาณาจักร
ตรงส่วนกลางของอณาจักรก็จะมีป่าขนาดใหญ่ คั่นอยู่ เป็นดั่งเส้นแบ่งดินแดนของนิกายพิทักษ์สวรรค์
และนิกายอสูรฟ้า แม้ว่าจะอยู่ในกำแพง แต่อาณาเขตของอาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นใหญ้เสียยิ่งกว่าอาณาจักรซากมังกรเสียอีก
เนี่ยลี่เดินไปยังประตูทางเข้า
มีทหารยามยืนเฝ้าตรวจสอบอยู่ เป็นชายในชุดเกราะทหาร
กลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมานั้นดูเหมือนว่าเขาระดับพลังของเขาจะอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า
“ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
ทหารยามจ้องมองหน้าเนี่ยลี่
เขาตรวจสอบระดับพลังของเนี่ยลี่นั้นเองก็อยู่ในระดับเทพสงคราม
แม้ว่าจะสามารถผ่านเข้าประตูเมืองได้ตามกฏ แต่ก็การเข้าออกอาณาจักรแห่งนี้จะต้องจ่ายศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน
“ข้านั้นเป็นพ่อค้าจากอาณาจักรซากมังกร
ข้าเพียงแค่เดินทางมาหาซื้อของวิเศษกลับไปขายที่อาณาจักรซากมังกรเท่านั้น”
เนี่ยลี่แกล้งทำตัวเป็นพ่อค้า เนื่องจากอาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นมีอาวุธและชุดเกราะวิเศษที่เหนือกว่าขั้นที่เก้า
ที่เรียกได้ว่าระดับพระเจ้าอยู่เป็นจำนวนมาก
“ไม่คิดเลยว่าอาณาจักรเล็ก
ๆ ของเจ้าจะมีพ่อค้ามีมีระดับพลังสูงถึงเพียงนี้”
ทหารยามนั้นยังไม่เชื่อคำพูดของเนี่ยลี่เท่าใดนัก
“และที่สำคัญอาณาจักรกำแพงสวรรค์
เราใช้ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ และ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำในการซื้อขายเป็นหลัก
เจ้านั้นจะมีเงินซื้อเช่นนั้นหรือ?” ทหารยามอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้
ๆ พูดแทรกขึ้นมา ในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ศิลาจิตวิญญาณมีค่าเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น
แม้จะใช้ซื้อของได้แต่ก็ต้องจ่ายครั้งละนับล้านก้อน จึงไม่มีผู้ต้องการเท่าใดนัก
[ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน
และ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน ดังนั้น ศิลาแห่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน]
จริง ๆ
แล้วในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ มีทะเลสาบแห่งเทพขนาดกลางอยู่ ในบางครั้งมันก็สามารถสร้างศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำขึ้นมาได้
แต่ก็ได้เพียงแค่เดือนละไม่กี่หมื่นก้อนเท่านั้น ส่วนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณนั้น
เนี่ยลี่มีอยู่หลายล้านก้อน
ส่วนศิลาจิตวิญญาณธรรมดานั้นเนี่ยลี่มีอยู่นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
เนี่ยลี่หยิบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณออกมาสองร้อยก้อน
และส่งให้กับทหารยามทั้งสองคนละหนึ่งร้อยก้อน และพูดออกไปด้วยความสุภาพว่า “ข้านั้นก็พอมีเงินหมุนเวียนอยู่บ้าง
หากพวกท่านไม่รังเกียจก็โปรดรับไป ส่วนที่เกินจากค่าผ่านประตู คิดเสียว่าเป็นของขวัญจากข้า”.................จบตอน