“อสูรผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งทราย
ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะยังไม่มีกายาแห่งเทพสินะ” เนี่ยลี่มองไปที่อสูรผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งทราย
แล้วพูดขึ้นมา
“ข้าคือหลิวซา
แม้ว่าจะไม่มีกายาเทพ แต่ในทะเลทรายแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเอาชนะข้าได้”
หลิวซาผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งทรายพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ [流沙:ทรายดูด]
ครืนน!
เสียงของพายุทะเลทรายพัดเข้ามาหาพวกเขาทั้งสี่
“เนี่ยลี่
ตัวจริงของมันอยู่ที่ใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋นถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“ข้ายังมองหาตัวตนของมันไม่เจอ
ระวังตัวให้ดี!” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“วายุเหมันต์!”
เอียจื่ออวิ๋นใช้พายุหิมะเข้าต้านทานพายุทะเลทรายของหลิวซา
ตูมม!
เสียงของพายุหิมะเข้าปะทะกับพายุทะเลทราย แม้ว่าหลิวซาจะได้พลังเกื้อหนุนจากผืนทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุด
แต่ระดับพลังของเอียจื่ออวิ๋นนั้นสูงกว่าหลายเท่านัก
ความเย็นจากพายุหิมะค่อย
ๆ เกาะกุมไปที่ทรายทีละเม็ด จนทั่วทั้งทะเลทรายแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
“นี่มันอะไรกัน?” เสียงของหลิวซาดังขั้นมา พร้อมกับปรากฏรูปร่างของมัน ร่างของหลิวซาประกอบไปด้วยเม็ดทรายนับล้าน
เมื่อถูกหิมะเกาะทั่วทั้งตัว มันจึงไม่อาจที่จะแยกตัวออกไปได้
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เสียงร่างของหลิวซาค่อย ๆ แตกออก
“เจ้าพวกมนุษย์
นี่พวกเจ้าคิดที่จะก่อสงครามกับเทพจิตวิญญาณสินะ” นี่คือคำพูดสุดท้ายของหลิวซา
หลังจากนั้น ผลึกแห่งสัจธรรมแห่งทรายก็หล่นลงมาที่พื้น
เนี่ยลี่ก้มไปเก็บผลึกแห่งสัจธรรมและนำไปเก็บไว้ในดวงจิตแห่งความว่างเปล่า
ดูเหมือนว่าด้วยระดับพลังของพวกเขา
การเดินทางเพื่อยึดครองพลังสัจธรรมคงไม่ใช่เรื่องยาก
หากพวกอสูรมีความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปยังป่าอสูรทมิฬ
ป่าอสูรทมิฬ
“ข้าเคยพลัดหลงอยู่ในป่าแห่งนี้”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมาเมื่อก้าวเข้าไปในป่าอสูรทมิฬ
“แล้วเจ้าหนีรอดมาด้วยวิธีใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ดูเหมือนว่า
ในตอนนั้นข้าจะได้รับบาดเจ็บ และข้าได้พบเจอกับเผ่าเอลฟ์ผู้หนึ่ง”
หนิงเอ๋อพยายามครุ่นคิดก่อนที่จะตอบกลับไป
“อาจจะเป็นเทพจื่ออู้ก็เป็นได้”
เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นมา ในความทรงจำของนาง นางเคยได้ยินชื่อของเทพจื่ออู้
ว่าเป็นผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งพฤกษา [植物:พฤกษา]
“พี่ยู่หยานสามารถที่จะพูดคุยกับเขาได้หรือไม่?” เนี่ยลี่ถามออกไป หากสามารถพูดคุยได้
ก็มีโอกาสที่จะขอให้เขาสละกายาเทพให้ได้
“แม้ว่าเผ่าเอลฟ์จะเป็นศัตรูกับเผ่าอสูร
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายมนุษย์ คงต้องลองพยายามพูดคุยดูเท่านั้น”
เทพธิดายู่หยานพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ขอให้ข้าทดลองพูดคุยจะได้หรือไม่
บางทีหากเป็นคนผู้นั้นเขาอาจจะยอมรับฟังสิ่งที่ข้าองขอก็เป็นได้”
เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมา
“ท่านเทพจื่ออู้
ข้าคือเซี่ยวหนิงเอ๋อ ท่านพอจะจำข้าได้หรือไม่?”
หนิงเอ๋อตะโกนเข้าไปในป่าอสูรทมิฬ
“พวกเจ้าเป็นใครกัน
จึงกล้าเข้ามายังป่าอสูรทมิฬแห่งนี้” มีเสียงสะท้อนดังออกมาจากป่าอสูรทมิฬ
“ในชาติภพนี้ข้าอาจจะยังไม่เคยมายังที่แห่งนี้
แต่ในชาติภพที่แล้วข้าเคยได้รับการช่วยเหลือจากท่าน”
หนิงเอ๋อตะโกนเข้าไปในป่าอสูรทมิฬอีกครั้ง
“แล้วพวกเจ้ามายังป่าอสูรทมิฬด้วยเหตุใดกัน”
เสียงของเทพจื่ออู้ยังคงสะท้อนออกมาจากป่าอสูรทมิฬ
“เทพจื่ออู้
ข้าคือเทพธิดายู่หยานผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งอัคคี เทพธิดาจื่อฮุ้ยได้ให้พวกข้ามาขอความร่วมมือจากท่าน”
เทพธิดายู่หยานตอบกลับไป
“หากเป็นสงครามของมนุษย์และอสูร
ข้าขอปฏิเสธที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย” เสียงของเทพจื่ออู้สะท้อนกลับมา
พร้อมกับเสียงลมพัดจากป่าอสูรทมิฬ ทำให้ได้ยินเสียงหวีดหวิวอันน่ากลัว
“นี่ไม่ใช่สงครามกับมนุษย์และอสูรเท่านั้น
จักรพรรดิปราชญ์คิดที่จะทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ แน่นอนว่ารวมถึงโลกใบนี้ด้วย”
เนี่ยลี่พูดแทรกขึ้นมา
แม้ว่าจักรพรรดิปราชญ์จะไม่อาจทำลายโลกนี้ได้โดยตรง
แต่หากจักรพรรดิปราชญ์สามารถย้อนเวลาไปจนถึงเวลาก่อนหน้าที่ เทพธิดาเสิ่นซ่วงจะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา
นั่นก็อาจจะทำให้โลกใบเล็กไม่อาจถือกำเนิดขึ้นมาได้
แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเนี่ยลี่เท่านั้น
“จักรพรรดิปราชญ์ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งกาลเวลา”
เสียงของเทพจื่ออู้สะท้อนกลับมา และเงียบหายไป
“ข้าของวิงวอนท่าน
ในชีวิตที่แล้วท่านได้ช่วยเหลือข้า
ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่ต้องการให้พืชพรรณบนโลกนี้ต้องสูญสลายไปเป็นแน่”
หนิงเอ๋อพูดออกไป นางจำได้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ เป็นคนที่รักธรรมชาติยิ่งนัก
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ
คงจะเป็นกายาเทพและพลังสัจธรรมของข้า แต่ข้าไม่อาจที่จะมอบให้พวกเจ้าได้ ข้ามีหน้าที่ปกป้องป่าแห่งนี้เอาไว้
เพื่อให้ชนเผ่าเอลฟ์ของข้าได้อยู่อย่างสงบ” เทพจื่ออู้ตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
“สิ่งที่ท่านปกป้องในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด
ในเมื่อสุดท้ายแล้วจักรพรรดิปราชญ์ ก็จะทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น” หนิงเอ๋อแย้งกลับไป
“แล้วพวกเจ้ามีพลังมากเพียงไหน
พวกเจ้านั้นมีความสามารถมากพอที่จะล้มจักรพรรดิปราชญ์ได้เช่นนั้นหรือ?” เสียงของเทพจื่ออู้สะท้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
ฟู่มม!
หนิงเอ๋อปลดปล่อยพลังลมปราณของตนเองออกไป
บัดนี้นางนั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว ลมปราณของนางพัดไปยังป่าอสูรทมิฬ
จนทำให้ต้นไม้ทั่วทั้งป่าสั่นไหว
“ในตอนนี้พวกข้ามีพลังเพียงเท่านี้
หากสามารถรวบรวมกระดูกมนตราได้ครบหกชิ้น แม้ว่าข้าจะไม่อาจรับปากได้ว่า
จะสามารถเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวังมากกว่าการอยู่เฉย
รอให้จักรพรรดิปราชญ์มาทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง”
หนิงเอ๋อพูดออกไปพร้อมกับแผ่ลมปราณอันรุนแรงออกไป
“พลังของพวกเจ้านั้นเหนือกว่าข้ามากมายนัก
อาจจะมีหวังดั่งที่เจ้าพูดเอาไว้” เสียงของเทพจื่ออู้สะท้อนกลับมาพร้อมกับเสียงที่เหมือนกับการถอนหายใจ
“เจ้าจะรับปากข้าได้หรือไม่
ว่าจะปกป้องป่าอสูรทมิฬ มิให้มนุษย์หรือเผ่าอสูรมารุกราน
และให้เผ่าเอลฟ์ของข้าอยู่อย่างสงบ”
เสียงของเทพจื่ออู้สะท้อนออกมาจากป่าอสูรทมิฬอีกครั้ง
“ข้าขอสาบานต่อฟ้าดิน
หากข้าไม่ปกป้องป่าอสูรทมิฬเอาไว้
ขอให้ข้าต้องดับดิ้นอยู่ในป่าอสูรทมิฬแห่งนี้”
หนิงเอ๋อยกมือขึ้นเพื่อสาบานต่อฟ้าดิน
เมื่อได้ยินคำสาบานของหนิงเอ๋อ
คนอื่น ๆ ก็ได้แต่จ้องมองและไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา แต่เนี่ยลี่ได้คิดเอาไว้แล้ว
ว่าหากกลับไปจะขอให้ท่านเอียมัวและเอียเซิ่ง ตั้งกองกำลังปกป้องป่าอสูรทมิฬเอาไว้
เพื่อไม่ให้หนิงเอ๋อต้องผิดคำสาบาน
ฟู่มม!
เสียงลมพัดกลับออกมาจากป่าอสูรทมิฬ
หลังจากนั้นกระดูกมนตราและผลึกสัจธรรมแห่งพฤกษาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
หนิงเอ๋อได้เอื้อมมือไปหยิบและส่งให้กับเนี่ยลี่
แม้ว่าเทพจื่ออู้จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหนิงเอ๋อ
แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของหนิงเอ๋อจึงยินยอมที่จะมอบกายาเทพให้
ในตอนนี้เนี่ยลี่ได้ครอบครองพลังสัจธรรมเจ็ดชนิดและได้กระดูกมนตรามาแล้วสามชิ้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปยังพงไพรพิษ
พงไพรพิษ
พงไพรพิษเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มี
มนุษย์อาศัยอยู่ ด้วยพิษในพงไพรแห่งนี้ ช่วยปกป้องไม่ให้อสูรกล้าบุกเข้ามา
ในชีวิตที่แล้วเนี่ยลี่เองก็ได้มาฝึกฝนการปรุงยาจากหมู่บ้านของนักปรุงยาในพงไพรพิษแห่งนี้
การเดินทางมาของเนี่ยลี่ทำให้ชาวบ้านของหมู่บ้านนักปรุงยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดที่สามารถเดินทางผ่านพงไพรพิษโดยที่ไม่ถูกพิษมาก่อน
มีชายผู้หนึ่งเดินออกมาให้การต้อนรับพวกเขา
“ข้ามีนามว่าซู่หลิน
เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่ทราบว่าพวกท่านเดินทางมาด้วยธุระอันใดกัน?” [树林:ป่าไม้] ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินเป็นชายชราผมสั้น ที่มีผมสีขาวอยู่เต็มทั้งศีรษะ
เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดสีเขียวที่ได้จากการย้อมจากใบไม้ที่ได้จากพงไพรพิษ
“พวกข้าต้องการพบกับเทพวิญญาณหวังตู๋” [王毒:ราชาแห่งพิษ] เนี่ยลี่พูดออกไป
“เทพวิญญาณหวังตู๋ไม่พบกับคนนอกข้าขออภัย” ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินตอบกลับไป
แม้ว่าเขาจะตกใจที่คนนอกรู้จักเทพวิญญาณของพวกเขา
เขาก็ยังพยายามทำให้เห็นว่าไม่ได้ตกใจ
“การที่พวกข้าสามารถเข้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้โดยมิได้ถูกพิษเล่นงาน
นั่นก็หมายความว่าพวกข้านั้นมีสิทธิ์ที่จะเข้าพบกับเทพวิญญาณหวังตู๋ได้แล้ว มิใช่หรือ?” เนี่ยลี่แย้งกลับไป
เขาทราบถึงกฏระเบียบของหมู่บ้านนี้เป็นอย่างดี
“ทำไมเจ้าถึง....”
ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ก็หยุดพูดเพียงเท่านี้
“นั่นคือกฏในอดีตของพวกเรา
หากเจ้าต้องการที่จะเข้าพบกับเทพวิญญาณหวังตู๋ เจ้าต้องผ่านการทดสอบก่อน” ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินพูดขึ้นมาอย่างลนลาน
“ไม่ทราบว่าท่านจะให้ข้าทดสอบด้วยวิธีใดกัน?” เนี่ยลี่ถามกลับไป
แม้จะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธเท่านั้น
“เจ้าต้องทำการปรุงยาแก้พิษของอสูรคางคกทองคำ
หากเจ้าสามารถทำได้ เจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปพบกับเทพวิญญาณหวังตู๋”
ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินพูดหลังจากที่ครุ่นคิดไปพักหนึ่ง
อสูรคางคกทองคำเป็นอสูรที่มีพิษรุนแรงยิ่งนัก
หากสัมผัสกับพิษของมัน คนผู้นั้นจะตายภายในหนึ่งวัน
เป็นพิษที่แม้แต่นักปรุงยาในหมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่อาจที่จะปรุงได้ และในตอนนี้ก็มีผู้ป่วยจากพิษของอสูรคางคกทองคำอยู่
และชีวิตของเขาก็ใกล้ที่จะมอดดับลงไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า
ง่ายดายยิ่งนัก ขอให้ท่านเตรียมสมุนไพรเหล่านี้ให้แก่ข้า
ข้าจะนำมาผสมยาแก้พิษนี้ให้แก่ท่าน”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปพร้อมกับเขียนรายชื่อสมุนไพรขึ้นมาสามชนิดคือ หญ้าพิษแมงมุม
หญ้าพิษจงอาง และหญ้าพิษแมงป่อง เมื่อนำหญ้าพิษสามชนิดมารวมกัน
จะสามารถสร้างยาที่ใช้ต้านพิษของอสูรคางคกทองคำได้
หลังจากที่ได้สมุนไพรพิษสามชนิด
เนี่ยลี่ก็นำมากลั่นเป็นยาได้หลายขวด และส่งให้แก่ผู้ใหญ่บ้านซู่หลิน
แม้ว่าจะไม่เชื่อใจเท่าใดนัก แต่ผู้ป่วยก็ไม่อาจรอได้อีก หากนี่เป็นทางรอดสุดท้ายก็ต้องลองเสี่ยงดู
เมื่อผู้ป่วยได้ดื่มยาแก้พิษที่เนี่ยลี่กลั่น
เขาก็อ๊วกออกมา และอสูรคางคกทองคำก็ออกมาจากทางปากของเขาด้วย
หลังจากที่อาเจียนพิษออกมาจนหมด ร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้น
ทำให้ทุกคนต่างแปลกใจยิ่งนัก
“มันได้ผล”
ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจและยินดี
ผู้ป่วยคนนี้เป็นหลานชายของเขาเอง
เทพธิดายู่หยาน เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อ ทำได้เพียงแอบยิ้ม
พวกนางรู้ดีว่าด้วยความสามารถของเนี่ยลี่นั้น ไม่มีสิ่งใดที่เขานั้นทำไม่ได้
หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านซู่หลินก็พาพวกเนี่ยลี่
ไปยังตำหนักบูชาเทพวิญญาณหวังตู๋ แต่ก็อนุญาตให้เพียงเนี่ยลี่เท่านั้นที่เข้าไปได้
ตำหนักบูชาเทพวิญญาณหวังตู๋
“ท่านเทพวิญญาณหวังตู๋ บัดนี้มีคนจากภายนอกมาเพื่อขอพบกับท่าน”
ผู้ใหญ่บ้านซู่หลิน พูดออกไปด้วยความเคารพ
“ข้าได้เห็นเจ้าในขณะที่ปรุงยาแก้พิษแล้ว
ความรู้ของเจ้านั้นน่าทึ่งยิ่งนัก” เทพวิญญาณหวังตู๋พูดขึ้นมา
“ข้ามาตามคำชี้แนะของเทพธิดาจื่อฮุ้ย
นางบอกแก่ข้าว่าท่านนั้นรู้เป้าหมายที่ข้าเดินทางมาอยู่แล้ว”
“แน่นอนว่าข้ารู้
แต่หากข้ายอมมอบกายาเทพให้แก่เจ้า เจ้าจะทำเช่นใดกับคนในหมู่บ้านนี้” เทพวิญญาณหวังตู๋พูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
เขาคอยให้คำชี้แนะแก่คนในหมู่บ้านมาเป็นเวลานานแล้ว
“หากท่านกังวลในเรื่องนี้
ข้าจะพาพวกเขากลับไปยังเมืองกลอรี่ และแนะนำพวกเขาให้แก่สมาคมปรุงยา
พวกเขาจะมีทั้งที่อยู่และยังได้ใช้ความรู้ของพวกเขาในการช่วยเหลือผู้คน” เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ดี
ข้าจะเชื่อเจ้า ซู่หลิน จงออกไปบอกแก่คนในหมู่บ้าน
ข้านั้นจะสละกายาเทพของข้าเพื่อสงครามครั้งใหญ่
พวกเจ้าจงตามคนผู้นี้กลับไปที่เมืองของเขา” เทพวิญญาณหวังตู๋หันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้านซู่หลิน
“ขอรับ!” ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินตอบกลับไป
แม้ว่าใจเขาต้องการที่จะโต้แย้ง แต่ประกาศิตของเทพวิญญาณหวังตู๋ เขาจำต้องเชื่อฟัง
หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านซู่หลินเดินออกไป
ร่างสถิตของท่านเทพวิญญาณหวังตู๋ก็ค่อย ๆ แตกสลายไป เหลือเพียงกระดูกมนตรา
และผลึกสัจธรรมแห่งพิษ เนี่ยลี่จึงเอือมมือไปหยิบมาและเดินออกไป
หลังจากนั้นพวกเขาก็พาคนในหมู่บ้านออกจากพงไพรพิษและกลับไปยังเมืองกลอรี่ เมื่อกลับมาถึงเมืองกลอรี่
เนี่ยลี่ก็ได้พาพวกเขาไปยังสมาคมปรุงยา ทางสมาคมปรุงยารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
เพราะความรู้ของคนเหล่านี้เหนือกว่าคนของสมาคมปรุงยายิ่งนัก.....จบตอน