“เจ้าหมายความเช่นใดกัน?” ตู่ซื่อเอ่ยถามกิเลนฟ้า
“อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง ก่อนอื่นเจ้าจงให้สหายของเจ้าพาคนทั้งหมดกลับไปยังถ้ำกิเลนก่อน
ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ถึงความลับเรื่องนี้” กิเลนฟ้าตอบกลับไป
ตู่ซื่อรู้ว่ากิเลนฟ้านั้นย่อมมีเหตุผล จึงไม่เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม
จากนั้นตู่ซื่อก็ได้ไปแจ้งแก่อู่หมิงให้พาสมาชิกในกองกำลังทุกคนกลับไปยังถ้ำกิเลนก่อน
แม้ว่าจะไม่เข้าใจเหตุผลแต่อู่หมิงก็ยินดีที่จะทำตามที่ตู่ซื่อต้องการ
แม้ว่าอู่มู่และอู่สุ่ยจะรู้สึกไม่พอใจกับการที่ยึดทะเลสาบแห่งเทพที่ไร้ค่านี้มาได้
แต่พวกเขาก็สังเกตุเห็นท่าทีของตู่ซื่อ และเชื่อว่าจะต้องมีบางสิ่งที่ปกปิดเอาไว้
แม้ว่าพวกเขาจะยอมกลับไปยังถ้ำกิเลนเพลิงตามคำสั่งของอู่หมิง
แต่อู่มู่ก็แอบกลับมาที่ทะเลสาบแห่งเทพนี้
แม้ว่าอู่มู่จะพยายามปกปิดร่องรอย แต่ก็ไม่อาจที่จะเล็ดลอดจากสัมผัสของกิเลนเพลิงไปได้
กิเลนเพลิงจึงพูดกับฮวาหั่วว่า “ฮวาหั่วข้าขอควบคุมร่างกายของเจ้าครู่หนึ่ง”
หลังจากที่ฮวาหั่วพยักหน้าตอบรับ
กิเลนเพลิงก็ปลดปล่อยเพลิงสวรรค์ออกมาจนครอบคลุมบริเวณทะเลสาบแห่งเทพ
ทำให้อู่มู่ที่แอบดูอยู่ไม่สามารถมองผ่านเข้ามาได้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดกัน
“นี่คือวิชาอันใดกัน?” ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
“ก็แค่ม่านสำหรับบังตาเท่านั้น
หลังจากที่เจ้าบรรลุระดับดาราสวรรค์แล้วทำให้เจ้าสามารถใช้พลังอีกอย่างของข้าได้
นั่นคือสัมผัสแห่งเพลิงสวรรค์
เจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ที่อยู่ในเพลิงสวรรค์ หากมีคนแปลกปลอมลอบเข้ามาเจ้าก็จะรับรู้ได้ในทันที”
กิเลนเพลิงตอบกลับไป
แต่การที่กิเลนเพลิงตรวจจับถึงสัมผัสของอู่มู่นั้นเป็นการตรวจจับโดยการใช้ประสาทสัมผัสของกิเลนเพลิงเอง
ฮวาหั่วนั้นจะสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้แค่ในพื้นที่
ที่มีเพลิงสวรรค์ลุกโชนอยู่เท่านั้น
“พวกเขารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่!” อู่มู่พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสองคนเป็นเพียงยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์แต่กลับสัมผัสได้ถึงตัวเขาที่ปกปิดพลังเอาไว้ได้
เมื่อเห็นว่าถูกจับได้ อู่มู่จึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่ถ้ำลิเพลิงด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“เจ้าคิดที่จะทำอันใดกัน?” ตู่ซื่อเอ่ยถามกิเลนฟ้า
“ให้ข้าควบคุมร่างกายของเจ้า ข้าจะทำการจับรากเทวะออกมา”
กิเลนฟ้าพูดพร้อมกับหัวเราะ ตู่ซื่อพยักหน้าตอบรับแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่า
กิเลนฟ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด
กิเลนฟ้าได้ควบคุมร่างของตู่ซื่อไปยืนอยู่กลางทะเลสาบแห่งเทพ จากนั้นก็เริ่มเขียนลวดลายอักขระโบราณขึ้นมา
ลวดลายอักขระโบราณที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยพลังสวรรค์ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไปในทะเลสาบแห่งเทพ
จากนั้นก็ทั่วทั้งทะเลสาบแห่งเทพก็เกิดการสั่นสะเทือนและมีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา
มีรูปร่างคล้ายกับงูหรือมังกรตัวเล็ก ๆ ตรงส่วนหางมีลักษณะคล้ายกับรากไม้
กิเลนฟ้ารีบควบคุมมือของตู่ซื่อเพื่อคว้ามันเอาไว้ในขณะที่มันกำลังพยายามจะหนีไป
“ทะเลสาบแห่งเทพนี้กำลังจะสลายไปแล้ว
รีบออกจากที่นี่กันได้แล้ว” กิเลนฟ้าหันไปพูดกับฮวาหั่ว
จากนั้นทั้งสองคนก็รีบออกจากบริเวณของทะเลสาบแห่งเทพ
หลังจากนั้นไม่นานทะเลสาบแห่งเทพที่ไร้ซึ่งรากเทวะก็สลายไป
“นั่นมันตัวอะไรกัน?”
ฮวาหั่วเอ่ยถามเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของตู่ซื่อ
“นี่คือรากเทวะ
เรียกได้ว่าคือสิ่งที่สร้างทะเลสาบแห่งเทพขึ้นมา
เจ้าอย่าปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด และรีบกลับไปยังถ้ำกิเลนเพลิงทันที” กิเลนฟ้าตอบกลับไป
ความลับของรากเทวะนั้นเรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาที่สาปสูญไปทั้งของมนุษย์และอสูร
แม้ว่าจะมีบันทึกเอาไว้แต่ก็เป็นภาษาโบราณที่ไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงเผ่ากิเลนที่สืบทอดภูมิปัญญามาตั้งแต่ยุคที่สวรรค์ก่อกำเนิดเท่านั้นที่ยังพอทราบในเรื่องนี้
และมีเพียงกิเลนสายเลือดบริสุทธิ์เช่นกิเลนฟ้าที่จะได้รับสืบทอดภูมิปัญญานี้มา
“พวกเราต้องรีบเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำกิเลนเพลิง ข้าจะพาไปเอง”
กิเลนเพลิงกลับมาควบคุมร่างกายของฮวาหั่วอีกครั้งและมุ่งหน้ากลับไปที่ถ้ำกิเลนเพลิงทันที
เมื่อเห็นตู่ซื่อและฮวาหั่ว อู่หมิงกำลังจะเอ่ยทัก
แต่ทั้งสองกลับมุ่งเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตู่ซื่อและฮวาหั่วจะเคยเข้าในถ้ำกิเลนเพลิงแห่งนี้แล้ว
แต่ก็ยังไม่เคยเข้าไปจนถึงส่วนลึกด้านในสุด ที่มีเปลวเพลิงอันร้อนแรงลุกโชนอยู่
ซึ่งภายในถ้ำนั้นยังมีทางแยกอีกมากมายรางกับเขาวงกต
กิเลนเพลิงนำทางไปด้วยความคุ้ยเคยจนไปถึงส่วนลึกสุดของถ้ำ ตรงเบื้องหน้ามีกำแพงไฟขวางกั้นอยู่
แต่เมื่อผ่านเข้าไปได้กลับพบว่ามีทะเลสาบอยู่ภายหลังกำแพงไฟนั้น
แท้จริงแล้วถ้ำกิเลนเพลิงเป็นเพียงถ้ำธรรมดาเท่านั้น
และทะเลสาบที่อยู่ภายในถ้ำก็เป็นเพียงทะเลสาบที่เผ่ากิเลนใช้ดื่มและอาบ
จนกระทั่งกิเลนสวรรค์ ผู้เป็นปู่ของกิเลนฟ้าได้นำรากเทวะมาปล่อยไว้ในทะเลสาบ
และให้มอบหมายให้เผ่ากิเลนเพลิงเป็นผู้ดูแลทะเลสาบแห่งนี้
หลังจากนั้นเมื่อเวลาล่วงไปนานนับพันปี เพลิงจากเผ่ากิเลนเพลิงก็ได้ผสานเข้ากับพลังสวรรค์และแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเพลิงสวรรค์ดั่งเช่นในตอนนี้
“นี่คือทะเลสาบแห่งเทพเพลิงสวรรค์” กิเลนเพลิงพูดขึ้นมา
“เป็นทะเลสาบแห่งเทพที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ที่นี่แตกต่างจากทะเลสาบแห่งเทพที่อยู่ด้านนอกยิ่งนัก
และดูเหมือนว่าในทะเลสาบแห่งเทพนี้จะมีศิลาจิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
กิเลนฟ้าโยนรากเทวะไปที่ทะเลสาบแห่งเทพ จากนั้นก็คืนการควบคุมร่างให้แก่ตู่ซื่อทันที
“นี่คือความลับของถ้ำกิเลนเพลิง
รากเทวะที่อาศัยอยู่ที่นี่จะคายพลังสวรรค์บริสุทธิ์ออกมา
เมื่อสัมผัสกับอากาศมันก็ลุกเป็นไฟจนกลายเป็นเพลิงสวรรค์
มีเพียงแค่พื้นที่ของทะเลสาบแห่งเทพนี้เท่านั้นที่ไม่มีเปลวเพลิงสวรรค์ลุกโชน
เพราะมีพลังสวรรค์ที่เข้มข้นเกินไป
พวกเจ้ารีบเก็บศิลาจิตวิญญาณในเลสาบแห่งเทพให้เร็วที่สุด พวกเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
กิเลนเพลิงอธิบายพร้อมกับคืนการควบคุมร่างให้กับฮวาหั่ว
แม้ว่าจะมีคำถามอยู่อีกมาก
แต่ตู่ซื่อและฮวาหั่วก็ต้องรีบทำตามคำพูดของกิเพลิงเพลิง ศิลาจิตวิญญาณนับแสนก้อนถูกเก็บไว้ในแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของ
และยังมีศิลาแก่นแท้วิญญาณอีกนับพันก้อน
หลังจากนั้นทั้งสองก็รีบกลับออกไปที่นอกถ้ำทันที
หลังจากที่รากเทวะที่นำไปใส่ไว้ในทะเลสาบแห่งเทพมีจำนวนมากขึ้น
ก็ดูเหมือนว่าเพลวเพลิงที่พ่นออกมาทางหน้าถ้ำก็มีความร้อนแรงมากกว่าแต่ก่อน
และเพลิงสวรรค์ก็ขยายพื้นที่ครอบคลุมไปราวครึ่งหนึ่งของภูเขาลูกนี้
“หากผู้ใดไม่สามารถทนความร้อนในตำแหน่งนี้ได้
ให้กระจายออกไปโดยรอบ เพื่อไปทำการดูดซับในพื้นที่ที่มีความร้อนน้อยกว่านี้
การฝืนดูดซับเพลิงสวรรค์ที่มีความร้อนมากเกินไปจะส่งผลเสียกับพวกเจ้า” ตู่ซื่อตะโกนบอกกับทุกคน
“พวกเจ้าไปทำอะไรที่ในถ้ำกันแน่?” อู่หมิงถามด้วยความสงสัยโดยที่มีมี่เฝิ่นหงยืนอยู่ข้าง
ๆ
“ขอโทษด้วยเรื่องนั้นเป็นความลับ นี่คือส่วนแบ่งของเจ้าเก้าส่วนตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้”
ตู่ซื่อยื่นแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงหนึ่งให้แก่อู่หมิง ในนั้นมีศิลาจิตวิญญาณจำนวนเก้าหมื่นก้อนและศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณอีกเก้าร้อยก้อนที่เก็บออกมาได้
อู่หมิงมองเข้าไปในแหวนด้วยความตกใจ ทะเลสาบแห่งเทพที่เสื่อมโทรมเช่นนั้นเหตุใดจึงมีศิลาจิตวิญญาณมากมายถึงเพียงนี้
อู่หมิงพยายามสงบใจและหันไปมองมี่เฝิ่นหง เมื่อเห็นว่านางพยักหน้าตอบรับในทันที
เขาจึงส่งแหวนคืนให้แก่ตู่ซื่อและพูดออกไปว่า
“ข้าไม่อาจที่จะรับของสิ่งนี้เอาไว้ได้
เพราะข้ามิได้ทำสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย และก่อนหน้านี้พวกเราได้ตกลงกันแล้วว่า
พวกเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งตามผลงานที่พวกเจ้าได้ทำ ดังนั้นศิลาจิตวิญญาณทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า”
‘เจ้าหนุ่มนี่นิสัยไม่เลว
ข้าเริ่มรู้สึกชอบเขาขึ้นมาแล้ว ขอข้าพูดกับเขาสักหน่อยนะตู่ซื่อ’ กิเลนฟ้าพูดกับตู่ซื่อ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รับเอาไว้เล่า
เจ้าก็รู้ว่ามันมีค่ามากเพียงไหน?” กิเลนฟ้าพูดผ่านร่างของตู่ซื่อ แม้ว่าน้ำเสียงจะยังคงเป็นเช่นเดิมแต่วิธีพูดนั้นต่างออกไปเล็กน้อย
“เพลิงสวรรค์ที่กองกำลังของข้าทำการดูดซับอยู่นี้ ก็เทียบได้กับศิลาจิตวิญญาณนับล้านก้อนแล้ว
นี่ยังไม่พูดถึงเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เจ้าได้มอบให้แก่ข้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องรับของสิ่งนี้จากเจ้า”
แม้ว่าจะประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของตู่ซื่อ แต่เขาก็ตอบกลับไป
‘นับว่าเป็นคนที่น่านับถือไม่น้อย’ กิเลนฟ้าพูดกับตู่ซื่อก่อนที่จะคืนการควบคุมร่างให้แก่เขา
“ถ้าเช่นนั้น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ ก็จงบอกแก่ข้า”
ตู่ซื่อพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
ทันใดนั้นฮวาหั่วก็สัมผัสได้ถึงคนสองคนกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
นั่นก็คืออู่มู่และอู่สุ่ยนั่นเอง
“ท่านลุง ท่านป้า ท่านมีธุระอันใดหรือ?” อู่หมิงหันไปถาม
“แม้ว่าข้าทั้งสองจะเป็นสมาชิกในกองกำลังเทพนักรบไร้นามของเจ้า
แต่พวกข้าก็มีภารกิจที่ต้องทำตามคำสั่งของท่านผู้นำตระกูลเช่นกัน” อู่มู่ตอบกลับไป
“ท่านพ่อสั่งให้พวกท่านทำเรื่องอันใด?” อู่หมิงถามออกไปด้วยความสงสัย
“ท่านผู้นำตระกูลได้มอบหมายให้ข้าแจ้งข่าวกลับไปหลังจากที่ทำการยึดทะเลสาบแห่งเทพได้สำเร็จ”
อู่มู่ตอบกลับไปพร้อมกับหันไปมองที่ตู่ซื่อ
“หากเป็นเรื่องนั้นข้าจะไปแจ้งกับท่านพ่อด้วยตัวเอง
เพราะข้ามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับท่านพ่อเช่นกัน
เช่นนั้นแล้วข้าจะเดินทางไปพร้อมกับพวกท่านด้วย
แต่ว่าเราจะเดินทางกลับไปหลังจากที่ข้าและเฝิ่นหงบรรลุระดับดาราสวรรค์แล้ว”
อู่หมิงพูดกลับไป พร้อมกับยิ้มด้วยความยินดี ในตอนนี้เขาและเฝิ่นหงมีพลังในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เจ็ดแล้ว
หากทำการดูดซับเพลิงสวรรค์อีกเพียงไม่กี่วันก็คงจะบรรลุระดับดาราสวรรค์ได้เป็นแน่
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็ให้เป็นไปตามที่เจ้าพูด”
อู่สุ่ยพูดแทรกขึ้นมา การที่หลานชายที่เคยไม่ได้เรื่องเติบใหญ่ขึ้ถึงเพียงนี้
ก็ทำให้นางรู้สึกยินดีไม่น้อย
ในคืนนั้นอู่หมิงได้ให้ทุกคนทำการดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์ตามปกติ
โดยที่ฮวาหั่วนั้นใช้สัมผัสแห่งเพลิงสวรรค์เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่สมาชิกในกองกำลังของอู่หมิง
พร้อม ๆ กับการดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์อยู่ที่ปากถ้ำพร้อมกับตู่ซื่อและมี่เฝิ่นหง
เนื่องจากภายในถ้ำนั้นมีความร้อนมากเกิน
ทั่วทั้งภูเขาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ทำให้มนุษย์และอสูรที่อยู่โดยรอบภูเขาต่างก็แตกตื่นและรีบอพยพหนีออกไปจากภูเขา
แต่เพลิงเหล่านี้ก็สร้างความสนใจให้แก่ผู้คนและอสูรอีกกลุ่มหนึ่งไปพร้อม ๆ กัน
นิกายอสูรเพลิง เป็นนิกายอสูรที่มีขนาดไม่ใหญ่โตนักมีสาวกอยู่ราวหนึ่งพันตนเท่านั้น
และยังไม่ขึ้นตรงกับนิกายเทพอสูร เนื่องจากมีขนาดที่เล็กเกินไป ซึ่งไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่นิกายเทพอสูรจะให้ความสำคัญ
อสูรที่เป็นสาวกของนิกายอสูรเพลิงส่วนใหญ่จะเป็นอสูรธาตุดินและไฟ
อสูรรูปร่างใหญ่โตตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์
เขานั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ใบหน้านั้นดูราวกับกระทิงใหญ่
เขาทั้งสองข้างนั้นมีเปลวไฟที่ร้อนแรงลุกโชนอยู่ เขานั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่แปด
นิกายของเขานั้นอาศัยอยู่ในถ้ำ ซึ่งเริ่มจะคับแคบลงไปทุกวัน
“เรียนท่านประมุข ดูเหมือนว่าจะมีเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาที่หุบเขาแห่งเทพ
ทำให้พวกมุษย์และอสูรต่างก็อพยพออกจากที่นั่น ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะไปยึดครองที่แห่งนั้นเพื่อสร้างนิกายของเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้นขอรับ”
สาวกผู้หนึ่งของนิกายอสูรเพลิงรายงานเรื่องนี้แก่ประมุขอสูรตนนี้มีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งม้าที่มีเปลวไฟห่อหุ้มร่างกายอยู่
เขานั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้า
“แต่ที่เขาลูกนั้นข้าได้ยินมาว่ามีกิเลนเพลิงครอบครองอยู่”
สาวกอีกตนหนึ่งรีบแย้งขึ้นมา ตัวของเขานั้นเป็นลิงรูปร่างใหญ่โตและเป็นหินทั้งร่าง
เขานั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้าเช่นกัน
“เผ่ากิเลนนั้นถูกสังหารจนแทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว
หากเราสามารถสร้างนิกายขึ้นมาบนเขาลูกนั้นได้
จะต้องทำให้พวกนิกายเทพอสูรหันมาสนใจพวกเราเป็นแน่ จัดเตรียมกองกำลังทั้งหมดหลักจากนี้อีกไม่กี่วัน
ข้าหั่วเหย่หนิว จะทำการบุกยึดลูกนั้นและจะข้าเรียกที่นั่นว่าเขาหั่วซาน!” หั่วเหย่หนิว
[火野牛 กระทิงไฟ]
ตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด...............จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
<< Back Next >>