ตอนที่
7 ก้าวข้ามผ่านอาจารย์
ภายในวังขององค์หญิง อยู่ ๆ ก็มีแสงสีขาวคล้าย ๆ ประกายดาว
ส่องประกายอยู่รอบ ๆ ตัวทั้งสี่คน ทันใดนั้นแผลตามตัว
และอาการบาดเจ็บของทั้งสี่คนก็ค่อย ๆ หายไป
วิญญาณของอาจารย์ทั้งสี่ของพวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาไปแล้ว เนื่องจากอาจารย์ทั้งสี่คนคือพวกเขาที่อยู่ในโลกนี้
หลังจากที่ดับสูญไป ขณะที่อยู่ในโลกฝั่งเดียวกัน
คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ทั้งความสามารถทางร่างกาย รวมไปถึงพลังเวทย์ของผู้ที่ดับสูญไป
ความสามารถของทั้งสี่คนหลังจากได้รับสืบทอดมา ก็บรรลุถึงขั้นที่เก้าทันที
“ท่านนักปราชญ์ทั้งสี่ สิ้นแล้วสินะ” องค์พูดขึ้นมา
พร้อมกับน้ำตา
“ท่านอาจารย์” ทั้งสี่คนพูดได้แค่นี้
จากนั้นก็ก้มหน้าเงียบไป
“เราคงไม่มีเวลาที่จะเสียใจแล้ว
เรามาช่วยเพื่อนพวกเจ้ากันก่อน” องค์หญิงพูดขึ้นมา
“ตอนนี้ข้าบรรลุถึงขึ้นที่เก้าแล้ว
น่าจะสามารถละลายน้ำแข็งได้” นุ พูด พร้อมกับค่อย ๆ
ปล่อยความร้อนออกจากมือละลายน้ำแข็งที่คลุมร่างฝนอยู่
จากนั้นไม่นานน้ำแข็งก็ละลายออกทั้งหมด
“ข้าจะให้คนพานางไปพักฟื้น
และเปลี่ยนชุดก่อน” องค์หญิงพูดขึ้นมา
“เรามีเรื่องต้องแจ้งให้องค์หญิงทราบเรื่องหนึ่งก่อน
ตอนที่วิญญาณของพวกท่านอาจารย์ผสานเข้าร่างกายพวกเรา พวกเราได้รับทั้งพลังร่ายกาย และพลังเวทย์
รวมไปถึงประสบการณ์ ต่าง ๆ ของอาจารย์มาด้วย
ซึ่งมีผลการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนี้ด้วย ท่านอาจารย์ทั้งสี่
ได้สละชีวิตโดยแลกกับการทำลายแขนของอสูรน้ำแข็งสายฟ้า
ซึ่งกว่าที่มันจะฟื้นตัวน่าจะใช้เวลาอีกกว่าสองเดือน” มะพร้าว
เป็นตัวแทนเล่าให้องค์หญิงฟัง
“ในตอนนี้หากพวกเรายังคงไปสู้ต่อ
คิดว่าผลการต่อสู้คงไม่ต่างจากพวกท่านอาจารย์มากนัก
พวกข้าต้องการที่จะฝึกต่อเพื่อจะบรรลุขั้นที่สิบ ให้ได้ก่อนที่อสูรหิมะสายฟ้า
จะฟื้นตัว ขอรบกวนให้องค์หญิง ส่งเราไปยังสถานที่ฝึกวิชาด้วย” รงค์พูดสรุป
“ข้าจะส่งพวกท่านเอง
ขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่ง ในความทรงจำของนักปราชญ์ทั้งสี่ ที่อยู่ในตัวพวกเจ้า
หากลองพยายามคิดทบทวนให้ดี อาจจะมีบางสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้บอกกับท่าน”
องค์หญิงแนะนำพร้อมกับสร้างประตูมิติทั้งสี่ขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าฝนฟื้นขึ้นมา ฝากองค์หญิงอธิบายเรื่องราวต่าง ๆให้เธอฟังด้วย
ขอฝากด้วยนะ” มะพร้าวกล่าวลาพร้อม ๆ กับเดินเข้าประตูมิติไปยังผืนป่าใกล้ ๆ
กับเมืองขององค์หญิงอีกครั้ง จริง ๆ
แล้วครั้งนี้มะพร้าวไม่ได้มาเพื่อดูดซับพลังแห่งปฐพีอีกแล้ว เนื่องจากหลังจากได้รับพลังวิญญาณมาจากนักนักปราชญ์แห่งปฐพี มะพร้าวก็ได้บรรลุขั้นที่สิบไปแล้ว
เนื่องจากความก้าวหน้าของการดูดซึมธาตุแรกกำเนิดของธาตุปฐพีนั้น
สามารถดูดซับได้ทุกหนทุกแห่ง จึงทำให้มะพร้าวก้าวหน้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย
เหตุผลที่เขามาที่ป่าแห่งนี้ เพื่อมารับของที่ นักปราชญ์แห่งปฐพี ได้ทิ้งไว้ให้ สิ่งนั้นก็คือ
ห่วงแขนแห่งปฐพี
หากสวมใส่แล้วก็จะเพิ่มพลังเวทย์ให้กับผู้ใช้ธาตุปฐพีได้อีกหลายเท่า
แต่หากผู้ที่ยังไม่บรรลุขั้นที่สิบใช้งานมัน ก็จะถูกดูดซับพลังชีวิตออกไป
ทำให้แก่ชราอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเหล่านักปราชญ์ทั้งสี่ ที่เป็นตัวตนของพวกเขาในโลกฝั่งนี้
ถึงได้มีอายุมากกว่าพวกเขา
“อยู่ตรงนี้สินะ” มะพร้าวตรวจสอบที่ใต้ดินลึกลงไปราว ๆ 1 กิโลเมตร
มีกล่องใส่ห่วงแขนแห่งปฐพี อยู่ หลังจากที่บรรลุผ่านขั้นที่เก้าแห่งธาตุปฐพีแล้ว มะพร้าวสามารถเคลื่อนไหวในพื้นดินได้ราวกับการว่ายน้ำ
มะพร้าวดำลงไปเอาห่วงแขนแห่งปฐพี ได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นมะพร้าวจึงเดินกลับไปที่ปราสาท เนื่องจากประตูมิติที่องค์หญิงเปิดไว้
ได้ถูกปิดลงไปแล้วจริง ๆ แล้วหากมะพร้าวติดต่อเจ้าหญิงผ่านทางแหวน
ก็สามารถที่จะให้องค์หญิงสร้างประตูมิติกลับได้ แต่มะพร้าว
อยากจะเดินกลับพร้อมกับกำจัดอสูรร้ายที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เมืองไปด้วย
ณ หุบเขาอัคคี
นุ เดินทางมาถึงและได้เริ่มนั่งสมาธิเพื่อดูดซับเพลิงอัคคีบนยอดเขา
โดยนุมีความคิดที่จะดูดซับเปลวเพลิงทั้งหมดของหุบเขา เพื่อที่จะบรรลุขั้นที่สิบ
ส่วนห่วงแขนแห่งอัคคีนั้น อยู่ในส่วนลึกของหุบเขา นุ รับรู้ได้จากวิญญาณของ
นักปราชญ์อัคคีที่อยู่ในตัวของเขานั่นเอง
นุใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเมื่อดูดซับเพลิง ถึงดูดซับเพลิงจากหุบเขาอัคคีจนหมด
และได้บรรลุขั้นที่สิบตามที่คาดไว้ และได้ลงไปเอาห่วงแขนแห่งอัคคี จากนั้นเดินทางกลับปราสาท
และกำจัดสอสูรร้ายระหว่างการเดินทาง
ณ
ยอดเขาเสียดฟ้า
เบียร์ที่บรรลุขั้นที่เก้าจากการได้รับวิญญาณของนักปราชญ์วายุ ทำให้สามารถบินขึ้นไปในอากาศได้ราวกับนก
เบียร์เลือกที่จะบินขึ้นไปบนฟ้า
แล้วใช้ถาคาเรียกพายุไซโคลน ให้หมุนอยู่รอบตัวเองจากนั้นก็ดูดซับเข้ามาในตัวเรื่อย
ๆ จนสามารถบรรลุขั้นที่สิบโดยใช้เวลาเกือบ ๆ 1 เดือนเช่นกัน
และได้รับห่วงแขนแห่งวายุ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จากนั้นเบียร์เลือกที่จะเหาะกลับปราสาทด้วยตัวเอง
และไปกำจัดอสูรประเภทบินได้ที่อยู่บริเวณปราสาทจนหมด
ณ
เกาะกลางมหาสมุทร
รงค์ มีความรู้สึกว่า เวลาอยู่ในที่
ที่ไม่มีน้ำ เขาแทบจะช่วยเหลือในการต่อสู้ไม่
ได้เลย แต่ตอนที่ นักปราชญ์แห่งวารีสู้ ทำไมถึงสร้างน้ำได้
เพราะตอนที่สู้กับอสูนน้ำแข็งสายฟ้า
เขาเองได้ใช้น้ำในคลองในการต่อสู้จนแทบจะไม่เหลือแล้ว อาจารย์ของเขาไม่น่าจะมีน้ำพอสำหรับใช้ในการต่อสู้ได้
แม้จะพยายามค้นหาจากความทรงจำของอาจารย์ก็ยังไม่รู้วิธี
“ไม่สิในอากาศมี
น้ำเป็นส่วนประกอบ รวมไปถึงน้ำที่เกิดจากการระเหย ไอน้ำต่าง ๆ ด้วย”
พอนึกได้อย่างนั้นรงค์ก็ลอง รวบรวมไอน้ำจากในอากาศมารวมกัน จนได้ก้อนน้ำขนาดใหญ่
“แบบนี้เองสินะ”
หลังจากที่สร้างน้ำจากอากาศได้
รงค์ก็ลงไปในน้ำเพื่อทำการดูดซับธาตุวารีใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน
ก็สามารถบรรลุขั้นที่สิบได้ จากนั้นจึงได้ดำน้ำลงไปเอาห่วงแขนแห่งวารี
ที่อยู่ในส่วนลึกของมหาสมุทรขึ้นมา แล้วเดินทางกลับปราสาท และได้กำจัดอสูรร้ายที่อยู่ในน้ำจนแทบจะหมดมหาสมุทร
ณ เวลาก่อนหน้านั้น ตอนที่มะพร้าวกลับมาที่ปราสาทหลังจากไป
เอาห่วงแขนแห่งปฐพีมาแล้ว ฝนก็ได้ฟื้นขึ้นมา
พอมะพร้าวกลับมาถึง
องค์หญิงก็ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับฝนฟังหมดแล้ว
องค์หญิงอยากให้ฝนรออยู่ที่ปราสาท จนกว่าทั้งสี่คนจะช่วยกันจัดการกับอสูรน้ำแข็งสายฟ้าสำเร็จ
“หม่อมฉันไม่ต้องการที่รออยู่เฉย ๆ
นะเพคะองค์หญิง” ฝนพูดกับองค์หญิงอย่างสุภาพ
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” องค์หญิงถาม
“ท่านบอกเองว่าที่หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่
เพราะใช้พลังโดยที่หม่อมฉันไม่รู้ตัว หม่อมฉันอยากให้องค์หญิงสอนข้าควบคุมพลังในการเปิดประตูมิตินี้”
ฝนตอบด้วยความมั่นใจ
“ข้าเห็นด้วย ถ้าหากฝนสร้างประตูมิได้
อาจจะช่วยเราในการต่อสู้ได้” มะพร้าวกลับมาถึงและได้ยินพอดี
“ทำไมเจ้าถึงกลับมา
นั่นมันห่วงแขนแห่งปฐพี หรือว่าเจ้าบรรลุขั้นที่สิบแล้ว” องค์หญิงพูดอย่างตกใจ
“ใช่ ข้าเพียงแค่ออกไปเอาห่วงแขนแห่งปฐพีมาเท่านั้น”
มะพร้าวตอบ
“มะพร้าว เอ่อ ขอบใจนะที่ช่วยฉันออกมา
ฉันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว” ฝนพูดขอบคุณ
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก
เพราะพวกเราทุกคนจะรอดกลับบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้
แต่ถ้าเธอสามารถสร้างประตูมิติได้ เดี๋ยวผมจะลองคิดแผนในการต่อสู้ดู”
มะพร้าวพูดพร้อมกับคิด
“หากพวกเจ้าต้องการเช่นนั้น
ข้าจะสอนนางเอง” องค์หญิงพูดขึ้นมา
ในการฝึกของฝนนั้น ง่ายกว่าของพวกเรา
เนื่องจากไม่ต้องดูดซับธาตุแรกกำเนิด และเธอเองก็เปิดประตูมิติได้เองอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นการใช้โดยที่ไม่ได้ตั้งในก็ตาม
การฝึกของฝนจึงเป็นการควบคุมให้ได้เท่านั้น
“การเปิดประตูมิตินั้น
จะต้องระบุตำแหน่งของประตู และ ตำแหน่งของปลายทางให้ชัดเจน
ส่วนใหญ่จะต้องเป็นสถานที่ ที่เจ้าเคยไปมาแล้วเท่านั้น หรือไม่ก็สถานที่
ที่มีพลังเวทย์ของเจ้าสถิตอยู่ เช่นแหวนของพวกมะพร้าว นั้นมีพลังเวทย์ของข้าอยู่
หากข้าสามารถตรวจสอบตำแหน่งได้ ข้าก็สามารถเปิดประตูมิติไปยังที่แห่งนั้นได้”
องค์หญิงอธิบายให้ฝนฟัง
“ในตอนแรกให้เจ้าลองสร้างประตูมิติ
ที่ทางเข้าออก อยู่ใกล้ ๆ กันดูก่อน อย่างภายในห้องนี้ เจ้าลองดูสิ”
องค์หญิงอธิบายต่อ
“เปิดประตูมิติ” หลังจากที่ฝนพูดจบ
มีรูเล็ก ๆ เกิดขึ้นมาในห้องนั้น 2 รูใกล้ ๆ กัน มะพร้าวลองเอาก้อนหินปาเข้าไปที่รูแรก
ปรากฏว่า หินโผล่ออกมายังประตูที่สอง
“ไม่เลว
เหลือแค่ทำประตูให้ใหญ่ขึ้นก็น่าจะใช้งานได้แล้ว” มะพร้าวพูด
“เดี๋ยวฉันจะลองดู”ฝนตอบ
“ถ้าหากเธอทำได้
อยากจะให้ช่วยฝึกทำแบบนี้หน่อย” มะพร้าวกระซิบไปที่ข้างหูฝน
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ไหม แต่ฉันจะพยายามทำดู”
ฝนตอบ
“พยายามเข้านะ
ถ้าทำได้จะช่วยพวกเราได้มากตอนที่สู้กับอสูรน้ำแข็งสายฟ้า ข้าไม่รบกวนแล้ว
ไปหล่ะนะ ฝน องค์หญิง” มะพร้าวบอกลา แล้วเดินออกจากห้องไป
หลังจากผ่านการฝึกไปเจ็ดวัน
ฝนสามารถเปิดประตูมิติได้กว้างขึ้นจนสามารถ เดินผ่านไปได้แล้ว และรงค์ก็กลับมาแล้ว
มะพร้าวจึง ชวนรงค์ ไปฝึกท่าประสานของธาตุน้ำและดิน จนได้ท่าบ่อโคลน
ที่อาจจะทำให้อสูรน้ำแข็งสายฟ้า เสียหลักได้ และฝึกการสร้างลูกบอลน้ำผสานกับ บอลศิลา
เพื่อฝึกพื้นฐานของท่า ลูกบอลลาวาเพลิงยักษ์ ที่ เหล่าอาจารย์เคยใช้และเมื่อเบียร์ กับรงค์กลับมา จึงฝึกพร้อมกันทั้งสี่คน
และสามารถใช้ ท่า ลูกบอลลาวาเพลิงยักษ์ ได้อย่างสมบูรณ์
ส่วนฝนที่ฝึกอยู่กับองค์หญิงก็สามารถที่จะสร้างประตูมิติ ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้แล้ว ซึ่งผลการฝึกนี้
ทำให้มะพร้าวนี้พอใจมาก
หลังจากการเตรียมพร้อม
ทุกคนพร้อมที่จะไปสู้กับอสูรน้ำแข็งสายฟ้าอีกครั้งแล้ว
องค์หญิงได้จัดเตรียมของบางอย่างไว้ให้กับทุกคน
“ข้าขอมอบของเหล่านี้ให้กับพวกท่านทั้งห้าคน”
องค์หญิงพูดพร้อมส่งมอบหีบใส่ของให้หับทุกคน
“นี่มัน!” ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็น
แต่งโดย นายมะพร้าว [นพรัตน์ น.]